ความเชื่อของนายร้อย(A)

เมื่อพระเยซูตรัสทั้งหมดนี้ให้ประชาชนฟังจนจบแล้ว พระองค์ก็เสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม ที่นั่นมีคนรับใช้ของนายร้อยคนหนึ่งป่วยหนักใกล้จะตาย นายร้อยรักคนรับใช้ผู้นั้นมาก เมื่อได้ยินเรื่องของพระเยซูแล้ว เขาก็ส่งผู้อาวุโสชาวยิวบางคนมาทูลเชิญพระเยซูไปรักษาคนรับใช้ของเขา เมื่อคนเหล่านั้นมาถึงก็ทูลอ้อนวอนพระเยซูด้วยความร้อนใจว่า “นายร้อยผู้นี้เป็นคนที่พระองค์ทรงสมควรจะไปช่วยอย่างยิ่ง เพราะเขารักชนชาติของเราและสร้างธรรมศาลาให้เรา” ดังนั้นพระเยซูจึงเสด็จไปกับพวกเขา

เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงบ้านนั้น นายร้อยก็ให้เพื่อนๆ มาทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากพระองค์เลยเพราะข้าพระองค์ไม่คู่ควรที่จะให้พระองค์เสด็จมาใต้ชายคาบ้านของข้าพระองค์ เพราะเหตุนี้ข้าพระองค์จึงคิดว่าตนเองไม่คู่ควรแม้แต่จะมาเข้าเฝ้าพระองค์ เพียงแต่พระองค์ตรัสสั่งเท่านั้นคนรับใช้ของข้าพระองค์ก็จะหายป่วย เพราะข้าพระองค์เองมีทั้งผู้บังคับบัญชาและมีทหารใต้บังคับบัญชา ข้าพระองค์สั่งคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป สั่งคนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพระองค์สั่งคนรับใช้ว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ”

เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนี้ก็ทรงประหลาดใจในตัวเขา แล้วหันมาตรัสกับฝูงชนที่ติดตามพระองค์ว่า “เราบอกท่านว่าเราไม่เคยพบความเชื่อที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แม้แต่ในอิสราเอล” 10 แล้วคนเหล่านั้นที่นายร้อยส่งมาก็กลับไปบ้านและพบว่าคนรับใช้นั้นหายดีแล้ว

พระเยซูทรงให้บุตรชายของหญิงม่ายเป็นขึ้นจากตาย(B)

11 หลังจากนั้นไม่นานพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองนาอิน เหล่าสาวกและประชาชนกลุ่มใหญ่ติดตามพระองค์ไป 12 เมื่อพระองค์เสด็จมาเกือบถึงประตูเมือง มีคนหามศพชายหนุ่มคนหนึ่งมา เขาเป็นลูกชายคนเดียวของหญิงม่าย ชาวเมืองมากมายมากับหญิงนั้น 13 เมื่อพระองค์ทรงเห็นนางก็ทรงสงสารนางยิ่งนักและตรัสว่า “อย่าร้องไห้เลย”

14 แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปแตะโลงศพ คนหามก็ยืนนิ่ง พระองค์ตรัสว่า “พ่อหนุ่ม เราสั่งเจ้าว่าจงลุกขึ้นเถิด!” 15 ผู้ตายก็ลุกขึ้นนั่งและเริ่มพูดจา พระเยซูจึงทรงมอบเขาคืนให้มารดา

16 คนทั้งปวงเต็มไปด้วยความเกรงกลัวและสรรเสริญพระเจ้าว่า “ผู้เผยพระวจนะยิ่งใหญ่มาปรากฏในหมู่เรา พระเจ้าเสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์แล้ว” 17 กิตติศัพท์เรื่องนี้ของพระเยซูก็เลื่องลือไปทั่วแคว้นยูเดีย[a]และดินแดนโดยรอบ

พระเยซูกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา(C)

18 พวกสาวกของยอห์นมาเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านั้น ยอห์นจึงเรียกศิษย์สองคนมา 19 และส่งเขาไปทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ท่านคือผู้ที่จะมานั้นหรือเราจะต้องคอยผู้อื่น?”

20 เมื่อคนทั้งสองมาถึงก็ทูลพระองค์ว่า “ยอห์นผู้ให้บัพติศมาส่งพวกข้าพเจ้ามาทูลถามท่านว่า ‘ท่านคือผู้ที่จะมานั้นหรือเราจะต้องคอยผู้อื่น?’ ”

21 ในขณะนั้นพระเยซูทรงรักษาคนเจ็บคนป่วยหลายคนให้หายจากโรคและจากวิญญาณชั่ว และทรงทำให้คนตาบอดหลายคนมองเห็นได้ 22 ดังนั้นพระองค์จึงตรัสกับสองคนนั้นว่า “จงกลับไปรายงานสิ่งที่ท่านได้เห็นได้ยินแก่ยอห์น คือคนตาบอดมองเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อน[b]หายจากโรค คนหูหนวกกลับได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐได้ประกาศแก่คนยากไร้ 23 คนที่ไม่สูญเสียความเชื่อไปเพราะเราก็เป็นสุข”

24 เมื่อศิษย์ของยอห์นไปแล้ว พระเยซูจึงเริ่มตรัสกับประชาชนเกี่ยวกับยอห์นว่า “พวกท่านออกไปดูอะไรในถิ่นกันดาร? ดูต้นอ้อลู่ตามลมหรือ? 25 หากไม่ใช่ ท่านออกไปดูอะไร? ดูคนนุ่งห่มผ้าเนื้อดีหรือ? ไม่ใช่เลย เพราะบรรดาผู้ที่สวมเสื้อผ้าราคาแพงและชอบฟุ้งเฟ้อย่อมอยู่ในวัง 26 แต่ท่านออกไปดูอะไร? ผู้เผยพระวจนะหรือ? ใช่แล้ว เราบอกพวกท่านว่าชายผู้นี้เป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะเสียอีก 27 ยอห์นนี่แหละคือผู้ที่มีเขียนถึงไว้ว่า

“ ‘ดูเถิด เราจะส่งทูตของเรามาก่อนท่าน
เพื่อเตรียมทางไว้ให้ท่านล่วงหน้า’[c]

28 เราบอกท่านว่าในบรรดาคนที่เกิดจากผู้หญิงไม่มีคนไหนยิ่งใหญ่กว่ายอห์น กระนั้นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น”

29 (คนทั้งปวงแม้แต่คนเก็บภาษีเมื่อได้ยินคำตรัสของพระเยซูก็รับว่าทางของพระเจ้าถูกต้อง เพราะพวกเขาได้รับบัพติศมาจากยอห์นแล้ว 30 แต่พวกฟาริสีและผู้เชี่ยวชาญในบทบัญญัติไม่ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับพวกเขา เพราะพวกเขาไม่ได้รับบัพติศมาจากยอห์น)

31 “แล้วเราจะเปรียบคนในยุคนี้กับอะไรดี? พวกเขาเป็นเช่นไร? 32 เขาเป็นเหมือนเด็กๆ ที่นั่งอยู่กลางตลาดและร้องบอกกันและกันว่า

“ ‘เราเป่าปี่ให้
พวกเธอก็ไม่เต้นรำ
เราร้องเพลงไว้อาลัย
พวกเธอก็ไม่ร้องไห้’

33 เพราะยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่กินขนมปังและไม่ดื่มเหล้าองุ่น พวกท่านก็กล่าวว่า ‘เขามีผีสิง’ 34 ส่วนบุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่มและพวกท่านก็กล่าวว่า ‘นี่คือคนตะกละและขี้เมา เป็นมิตรของคนเก็บภาษีและ “คนบาป” ’ 35 แต่พระปัญญาก็ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้องโดยคนทั้งปวงที่ปฏิบัติตามพระปัญญานั้น[d]

พระเยซูทรงรับการชโลมจากหญิงชั่ว(D)

36 ฟาริสีคนหนึ่งเชิญพระเยซูไปรับประทานอาหารมื้อค่ำ พระองค์จึงเสด็จไปที่บ้านของเขาและทรงนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ 37 หญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นเคยเป็นหญิงชั่วเมื่อรู้ว่าพระเยซูกำลังเสวยพระกระยาหารที่บ้านฟาริสีคนนั้น ก็นำขวดน้ำมันหอมเข้ามา 38 และมายืนอยู่ข้างหลังพระองค์ที่พระบาท นางร่ำไห้หลั่งน้ำตารดพระบาทแล้วเอาผมเช็ด จูบพระบาท และรินน้ำมันหอมชโลมพระบาทของพระองค์

39 เมื่อฟาริสีที่เชิญพระเยซูเห็นเช่นนั้นก็นึกในใจว่า “หากคนนี้เป็นผู้เผยพระวจนะ เขาก็น่าจะรู้ว่าผู้ที่มาแตะต้องเขาเป็นใครและเป็นผู้หญิงประเภทไหนเพราะนางเป็นคนบาป”

40 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรามีอะไรจะบอกท่าน”

เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ ว่าไปเถิด”

41 พระองค์ตรัสว่า “คนปล่อยเงินกู้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองราย รายหนึ่งเป็นหนี้ห้าร้อยเหรียญเดนาริอัน[e] อีกรายหนึ่งเป็นหนี้ห้าสิบเหรียญ 42 ทั้งสองคนไม่มีเงินใช้หนี้ เขาจึงยกหนี้ให้ทั้งคู่ ในสองคนนี้คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน?”

43 ซีโมนทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่ได้รับการยกหนี้มากกว่า”

พระเยซูตรัสว่า “ท่านตัดสินถูกแล้ว”

44 แล้วพระองค์ทรงหันไปทางหญิงนั้นและตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงคนนี้หรือไม่ เราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาให้เราล้างเท้า ส่วนนางเอาน้ำตาล้างเท้าของเราและเช็ดด้วยผมของนาง 45 ท่านไม่ได้จูบเรา แต่หญิงนี้จูบเท้าเราไม่หยุดตั้งแต่เราเข้ามาในบ้าน 46 ท่านไม่ได้รินน้ำมันรดศีรษะของเรา แต่นางรินน้ำมันหอมรดเท้าของเรา 47 เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้วตามที่ได้เห็นจากความรักมากมายของนาง แต่ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็รักน้อย”

48 แล้วพระเยซูตรัสกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”

49 แขกรับเชิญคนอื่นๆ เริ่มพูดกันว่า “ผู้นี้เป็นใครหนอจึงให้อภัยบาปได้?”

50 พระเยซูตรัสกับหญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด”

Footnotes

  1. 7:17 หรือดินแดนของชาวยิว
  2. 7:22 คำภาษากรีกอาจหมายถึงโรคผิวหนังต่างๆ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงโรคเรื้อนเท่านั้น
  3. 7:27 มลค. 3:1
  4. 7:35 หรือลูกหลานทั้งปวงแห่งพระปัญญานั้น
  5. 7:41 1 เดนาริอันมีค่าเท่ากับค่าแรง 1 วัน

ด้วยความเชื่อสูงส่ง

เมื่อพระเยซูได้กล่าวให้ฝูงชนฟังจบแล้ว ก็เข้าไปยังเมืองคาเปอร์นาอุม มีผู้รับใช้ของนายร้อยโรมันคนหนึ่งกำลังป่วยใกล้สิ้นลม นายเห็นคุณค่าในตัวเขามาก นายร้อยผู้นี้เคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซู จึงให้ผู้ใหญ่บางคนของชาวยิวไปหาพระองค์เพื่อขอให้มารักษาผู้รับใช้คนนั้น เมื่อคนเหล่านั้นมาพบพระเยซู ก็อ้อนวอนพระองค์ว่า “นายร้อยผู้นี้สมควรจะได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์ เพราะว่าเขารักชาติของเรา และได้สร้างศาลาที่ประชุมให้พวกเรา” พระเยซูจึงไปกับพวกเขา เมื่อใกล้จะถึงบ้านแล้ว นายร้อยก็ได้ขอให้เพื่อนๆ มาบอกพระเยซูว่า “พระองค์ท่าน อย่าลำบากเลย เพราะว่าไม่สมควรให้พระองค์เข้ามาใต้หลังคาบ้านของข้าพเจ้า ฉะนั้นข้าพเจ้ามิบังควรที่จะมาพบพระองค์เช่นกัน เพียงแต่พระองค์พูด ผู้รับใช้ก็จะหายจากโรค สำหรับตัวข้าพเจ้าเองก็เป็นคนอยู่ใต้บังคับบัญชา มีทหารในบังคับด้วย ข้าพเจ้าบอกคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป และคนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพเจ้าบอกทาสรับใช้ว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ”

เมื่อพระเยซูได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็ประหลาดใจ และหันไปกล่าวกับหมู่คนที่เดินตามมาว่า “เราขอบอกท่านว่า เราไม่เคยเห็นความเชื่อมากเท่านี้แม้แต่ในประเทศอิสราเอล” 10 เมื่อคนเหล่านั้นกลับไปก็พบว่าผู้รับใช้คนนั้นได้หายเป็นปกติแล้ว

ลูกชายของหญิงม่ายฟื้นจากความตาย

11 ไม่นานหลังจากนั้นพระเยซูก็ไปยังเมืองนาอิน พวกสาวกของพระองค์และผู้คนจำนวนมากติดตามไปด้วย 12 ขณะที่พระองค์เข้าไปใกล้ประตูเมือง ก็สวนทางกับขบวนแห่ศพซึ่งมีคนแห่ร่วมมา ผู้ตายเป็นลูกชายคนเดียวของหญิงม่าย 13 เมื่อพระเยซูเจ้าเห็นหญิงม่าย ก็เกิดความสงสารจึงกล่าวว่า “อย่าร้องไห้เลย” 14 พระองค์เดินเข้าไปใกล้แล้วเอื้อมไปแตะศพ พวกหามศพก็ยืนนิ่งอยู่ พระองค์กล่าวว่า “ชายหนุ่มเอ๋ย เราขอบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” 15 คนตายก็ลุกขึ้นนั่งและพูดได้ พระเยซูจึงมอบชายหนุ่มคืนให้แม่ของเขา 16 เขาทั้งหลายรู้สึกกลัวและสรรเสริญพระเจ้า พูดกันว่า “ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้ปรากฏท่ามกลางเรา พระเจ้าได้มาช่วยชนชาติของพระองค์แล้ว” 17 เรื่องราวของพระเยซูได้เลื่องลือไปทั่วแคว้นยูเดียและเขตใกล้เคียง

คำถามของยอห์นถึงพระเยซู

18 สาวกของยอห์นได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้ยอห์นฟัง ท่านจึงเรียกสาวก 2 คนมา 19 และส่งเขาทั้งสองไปถามพระเยซูเจ้าว่า “ท่านคือผู้ที่จะมานั้น หรือว่าพวกเราควรจะรอคอยผู้อื่นต่อไป” 20 เมื่อสาวกทั้งสองมาพบพระเยซูก็พูดว่า “ยอห์นผู้ให้บัพติศมาให้พวกเรามาถามท่านว่า ‘ท่านคือผู้ที่จะมานั้น หรือว่าพวกเราควรจะรอคอยผู้อื่นต่อไป’” 21 ขณะนั้นพระเยซูกำลังรักษาผู้คนจำนวนมากให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ จากวิญญาณร้ายต่างๆ และให้คนตาบอดมองเห็น 22 พระองค์ตอบผู้ส่งข่าวทั้งสองว่า “จงกลับไปรายงานยอห์นถึงสิ่งที่เจ้าเห็นและได้ยิน คนตาบอดมองเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายขาด คนหูหนวกได้ยิน คนตายฟื้นคืนชีวิต และข่าวประเสริฐถูกประกาศให้กับคนยากไร้ 23 ผู้ใดที่ยังคงความเชื่อในเรา ผู้นั้นย่อมเป็นสุข”

24 หลังจากผู้สื่อข่าวของยอห์นจากไปแล้ว พระเยซูเริ่มกล่าวกับฝูงชนถึงยอห์นว่า “พวกท่านออกไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร ต้นอ้อที่ถูกลมพัดหรือ 25 ถ้าไม่ใช่ แล้วท่านออกไปเพื่อดูอะไร ไปดูชายที่สวมเสื้อผ้าเนื้อนุ่มหรือ เปล่าเลย ผู้สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงและเพลิดเพลินในสิ่งหรูหราย่อมอยู่ในวัง 26 แต่ท่านออกไปเพื่อดูอะไรเล่า ไปดูผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าหรือ ใช่แล้ว เราขอบอกท่านว่า เขาเหนือกว่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเสียอีก 27 มีคำที่กล่าวถึงผู้นี้ไว้ว่า

‘ดูเถิด เราจะใช้ผู้ส่งข่าวของเราล่วงหน้าเจ้าไป
    เพื่อเตรียมทางของเจ้าล่วงหน้า’[a]

28 เราขอบอกท่านว่า ในบรรดาผู้เกิดจากครรภ์มารดา ไม่มีผู้ใดที่จะยิ่งใหญ่เหนือยอห์น แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรของพระเจ้ากลับยิ่งใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก” 29 เมื่อฝูงชนทั้งปวงหรือแม้แต่พวกคนเก็บภาษีได้ยินคำกล่าวของพระเยซู ต่างก็รับว่าวิถีทางของพระเจ้าเป็นทางที่ถูกต้อง เพราะว่าเขาเหล่านั้นได้รับบัพติศมาของยอห์นแล้ว 30 แต่พวกฟาริสีและผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติปฏิเสธความประสงค์ของพระเจ้าสำหรับพวกเขาเอง เพราะว่าพวกเขาไม่ได้รับบัพติศมาจากยอห์น

31 “เราเปรียบเทียบคนในช่วงกาลเวลานี้กับอะไรดี พวกเขาเป็นอย่างไร 32 พวกเขาเหมือนกับเด็กๆ ที่นั่งในย่านตลาดและร้องต่อกันและกันว่า

‘พวกเราเป่าขลุ่ยให้เธอ
    แต่เธอกลับไม่เต้นรำ
เมื่อพวกเราได้ร้องเพลงเศร้า
    เธอก็ไม่ร้องร่ำไห้’

33 เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่กินขนมปังและไม่ดื่มเหล้าองุ่น พวกท่านก็พูดว่า ‘เขามีมารสิงอยู่’ 34 บุตรมนุษย์ได้มาแล้ว ทั้งกินและดื่ม พวกท่านก็พูดว่า ‘ดูเขาซิ เป็นทั้งคนตะกละและขี้เมา เพื่อนของคนเก็บภาษีและคนบาป’ 35 แต่ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้ารับว่าพระปัญญาเป็นทางที่ถูกต้อง”

น้ำมันหอมชโลมเท้า

36 ฟาริสีคนหนึ่งได้เชิญพระเยซูไปรับประทานอาหารกับเขา เมื่อพระองค์ไปถึงบ้านเขาแล้วก็เอนกายลงรับประทาน 37 หญิงคนบาปคนหนึ่งในเมืองนั้นรู้ว่าพระเยซูกำลังรับประทานอาหารอยู่ที่บ้านของฟาริสี นางจึงเอาผอบหินซึ่งบรรจุด้วยน้ำมันหอมมา 38 ขณะที่นางยืนอยู่เบื้องหลังพระองค์ พลางร้องไห้อยู่ที่แทบเท้า น้ำตาก็ไหลลงเปียกเท้าของพระองค์ แล้วนางใช้ผมของตนเช็ดเท้า ครั้นแล้วก็จูบและเทน้ำมันหอมชโลมบนเท้าของพระเยซู 39 เมื่อฟาริสีผู้เป็นเจ้าบ้านเห็นดังนั้นก็รำพึงกับตนเองว่า “ถ้าชายคนนี้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแล้ว เขาจะรู้ว่าหญิงผู้กำลังจับต้องตัวเขาเป็นคนบาป” 40 พระเยซูตอบเขาว่า “ซีโมน เรามีอะไรบางสิ่งจะบอกท่าน” ซีโมนพูดว่า “เชิญบอกข้าพเจ้าเถิดอาจารย์”

41 “มีชายลูกหนี้ 2 คน คนหนึ่งเป็นหนี้ 500 เหรียญเดนาริอัน[b] และอีกคนเป็นหนี้ 50 42 ทั้งสองไม่มีเงินจ่ายคืนเจ้าหนี้ เจ้าหนี้ก็ยกหนี้ให้แก่เขาทั้งสอง แล้วคนใดจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน” 43 ซีโมนตอบว่า “คงจะเป็นคนที่ได้รับการยกหนี้จำนวนมากกว่า” พระเยซูกล่าวว่า “ท่านได้ตัดสินถูกต้องแล้ว” 44 แล้วพระองค์หันไปทางหญิงคนนั้นพลางกล่าวกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงคนนี้ไหม เราเข้ามาในบ้านของท่าน และท่านไม่ได้ให้น้ำล้างเท้าเรา แต่นางล้างเท้าเราด้วยน้ำตา เช็ดด้วยผมของนาง 45 ท่านไม่ได้จูบแก้มเรา[c] หญิงคนนี้ยังไม่ได้หยุดจูบเท้าเรานับตั้งแต่เวลาที่เราได้เข้ามา 46 ท่านไม่ได้ใส่น้ำมันบนผมเรา แต่นางเทน้ำมันหอมลงบนเท้าเรา[d] 47 ฉะนั้นเราขอประกาศว่าบาปต่างๆ ของนางได้รับการยกโทษแล้ว เพราะว่านางมีความรักมากมาย และคนที่ได้รับการยกโทษเพียงเล็กน้อยก็มีความรักน้อย” 48 แล้วพระเยซูกล่าวกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการยกโทษแล้ว” 49 แขกผู้ร่วมงานอื่นๆ ก็เริ่มคุยกันว่า “คนนี้เป็นใคร แม้แต่บาปก็ยกโทษให้ได้” 50 พระเยซูกล่าวกับหญิงคนนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอดพ้นแล้ว จงไปอย่างสันติสุขเถิด”

Footnotes

  1. 7:27 มาลาคี 3:1
  2. 7:41 1 เดนาริอัน เป็นเงินมีค่าประมาณค่าแรงทำงาน 1 วัน
  3. 7:45 จูบแก้ม เป็นธรรมเนียมการทักทายซึ่งเปรียบเทียบได้กับการไหว้ของคนไทย แต่ในบางครั้งจูบมือแทน
  4. 7:46 การต้อนรับปกติแล้วมักล้างเท้าด้วยน้ำ จูบแก้มและหยดน้ำมันบนศีรษะ