Add parallel Print Page Options

ความคิดขัดแย้งเรื่องวันหยุดทางศาสนา

(มธ. 12:1-8; มก. 2:23-28)

ในวันหยุดทางศาสนาวันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูกำลังเดินผ่านทุ่งข้าวสาลี ลูกศิษย์ของพระองค์ได้เด็ดยอดรวงข้าวสาลีมาขยี้เปลือกออกแล้วกินกัน พวกฟาริสีบางคนจึงพูดว่า “ทำไมพวกคุณถึงทำผิดกฎของวันหยุดทางศาสนา”

พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านหรือว่าดาวิดทำอะไรตอนที่เขากับลูกน้องของเขาหิวโหย เขาเข้าไปในบ้านของพระเจ้า หยิบขนมปังศักดิ์สิทธ์มากินซึ่งตามกฎแล้วมีแต่พวกนักบวชเท่านั้นที่กินได้ และยังส่งให้กับลูกน้องกินด้วย” พระเยซูบอกพวกฟาริสีว่า “บุตรมนุษย์เป็นนายเหนือวันหยุดทางศาสนา”

พระเยซูรักษาชายมือลีบในวันหยุดทางศาสนา

(มธ. 12:9-14; มก. 3:1-6)

ครั้งหนึ่งในวันหยุดทางศาสนา พระเยซูสั่งสอนอยู่ในที่ประชุมชาวยิว มีชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่น มือขวาของเขาลีบ พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีจับตาดูว่า พระเยซูจะรักษาใครหรือเปล่า จะได้มีเรื่องกล่าวหาพระองค์ แต่พระเยซูรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ จึงพูดกับชายมือลีบว่า “มายืนข้างหน้านี้สิ” เขาลุกขึ้นทำตาม พระเยซูจึงพูดกับพวกเขาว่า “ขอถามหน่อย ตามกฎแล้วในวันหยุดทางศาสนาควรจะทำดีหรือทำชั่ว ควรจะช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต” 10 พระเยซูมองไปรอบๆพวกเขา แล้วพูดกับชายมือลีบว่า “ยืดมือออกสิ” เขาก็ทำตาม แล้วมือของเขาก็หายเป็นปกติ 11 พวกครูสอนกฎปฏิบัติกับพวกฟาริสีโกรธแค้นมาก ก็เลยปรึกษากันว่าจะจัดการกับพระเยซูอย่างไรดี

พระเยซูเลือกศิษย์เอกสิบสองคน

(มธ. 10:1-4; มก. 3:13-19)

12 หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน และพระองค์อธิษฐานถึงพระเจ้าตลอดทั้งคืน 13 พอถึงตอนเช้าพระองค์เรียกพวกศิษย์เข้ามาหา และเลือกสิบสองคนออกมาเพื่อตั้งให้เป็นศิษย์เอก

14 มีซีโมน ที่พระองค์เรียกว่า เปโตร

อันดรูว์น้องชายเปโตร

ยากอบ

ยอห์น

ฟีลิป

บารโธโลมิว

15 มัทธิว

โธมัส

ยากอบลูกชายของอัลเฟอัส

ซีโมนผู้มีใจจดจ่อกับพระเจ้า

16 ยูดาสลูกของยากอบ

และยูดาสอิสคาริโอท ซึ่งเป็นคนที่ต่อมาภายหลังได้หักหลังพระเยซู

พระเยซูสั่งสอนและรักษาโรค

(มธ. 4:23-25; 5:1-12)

17 พระเยซูลงมาจากภูเขากับพวกศิษย์เอกเหล่านั้น เมื่อมาถึงที่ราบแห่งหนึ่ง ก็ได้พบกับลูกศิษย์อีกมากมายที่มาจากทั่วแคว้นยูเดีย เมืองเยรูซาเล็ม และจากชายฝั่งทะเลในเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน 18 พวกเขาเดินทางมาเพื่อฟังพระองค์สอนและเพื่อให้พระองค์รักษาโรคให้ คนที่ทนทุกข์เพราะถูกผีชั่วเข้าสิงก็ได้รับการรักษาด้วย 19 ทุกคนพยายามจะแตะต้องตัวพระองค์ เพราะฤทธิ์ที่แผ่ออกมาจากพระองค์นั้นรักษาพวกเขาให้หายทุกคน

เกียรติและความอับอาย

(มธ. 5:1-12)

20 พระเยซูมองดูพวกลูกศิษย์แล้วก็พูดว่า

“พวกคุณคนจนนี่ ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ
    เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคุณ
21 พวกคุณที่อดอยากหิวโหยตอนนี้ ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ
    เพราะพระเจ้าจะทำให้คุณอิ่มหนำสำราญ
พวกคุณที่ร้องไห้เสียใจ ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ
    เพราะพระเจ้าจะทำให้คุณหัวเราะอย่างมีความสุข

22 ให้ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆเมื่อคนเกลียดคุณ ขับไล่คุณ ดูถูกคุณและกล่าวหาว่าคุณเป็นคนเลว เพราะคุณติดตามบุตรมนุษย์

23 ในวันนั้นขอให้ดีใจและกระโดดโลดเต้นด้วยความสุข เพราะพระเจ้าเก็บรางวัลอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับพวกคุณแล้วที่สวรรค์ อย่าลืมว่า แต่ก่อนบรรพบุรุษของพวกเขาก็ทำแบบนี้กับพวกผู้พูดแทนพระเจ้าเหมือนกัน

24 น่าอับอายจริงๆพวกคุณที่ร่ำรวย
    เพราะพวกคุณได้รับความสะดวกสบายจนครบแล้ว
25 น่าอับอายจริงๆพวกคุณที่อิ่มหนำสำราญตอนนี้
    เพราะคุณจะอดอยาก
น่าอับอายจริงๆพวกคุณที่กำลังหัวเราะในตอนนี้
    เพราะคุณจะต้องเป็นทุกข์และร้องไห้

26 น่าอับอายจริงๆพวกคุณที่ทุกคนยกย่องเยินยอ

เพราะบรรพบุรุษของพวกเขาก็เคยยกย่องเยินยอพวกผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอม[a] อย่างนั้นมาแล้วเหมือนกัน

รักศัตรูของคุณ

(มธ. 5:38-48; 7:12)

27 แต่เราจะบอกพวกคุณที่กำลังฟังอยู่ว่า ให้รักศัตรูและทำดีกับคนที่เกลียดคุณ 28 อวยพรให้กับคนที่สาปแช่งคุณ อธิษฐานให้กับคนที่โหดร้ายกับคุณ 29 ถ้ามีใครตบแก้มคุณข้างหนึ่ง ก็หันอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย ถ้ามีใครแย่งเสื้อคลุมของคุณไป ก็ให้แถมเสื้อตัวข้างในกับเขาไปด้วย 30 ถ้ามีใครมาขออะไรจากคุณก็ให้เขาไป และถ้ามีใครเอาของๆคุณไป ก็อย่าทวงคืน 31 ให้ทำกับคนอื่นเหมือนกับที่คุณอยากให้คนอื่นทำกับคุณ 32 ถ้าคุณรักแต่เฉพาะคนที่รักคุณ มีอะไรพิเศษตรงไหน เพราะคนบาปก็ยังรู้จักรักคนที่รักพวกเขาเหมือนกัน 33 ถ้าคุณดีกับเฉพาะคนที่ดีกับคุณเท่านั้น มีอะไรพิเศษตรงไหน เพราะแม้แต่คนบาปก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน 34 หากคุณให้ยืมเฉพาะคนที่คุณหวังจะได้รับคืนจากเขาเท่านั้น มีอะไรพิเศษตรงไหนหรือ เพราะแม้แต่คนบาปก็ยังให้คนบาปยืมโดยหวังว่าจะได้คืนทั้งหมดเหมือนกัน 35 พวกคุณต้องรักศัตรูของคุณ ทำดีกับพวกเขาด้วย และให้พวกเขายืมโดยไม่ต้องหวังว่าจะได้คืน แล้วคุณจะได้รับรางวัลมากมาย และเป็นลูกที่แท้จริงของพระเจ้าสูงสุด เพราะพระเจ้าดีกับคนเนรคุณและคนชั่ว 36 ขอให้คุณแสดงความเมตตาเหมือนกับที่พระบิดาแสดงความเมตตา

มองดูตัวเอง

(มธ. 7:1-5)

37 อย่าตัดสินคนอื่น แล้วพระเจ้าจะไม่ตัดสินคุณ อย่าประณามคนอื่น แล้วพระเจ้าจะไม่ประณามคุณ ยกโทษให้คนอื่น แล้วพระเจ้าจะยกโทษให้คุณ 38 ถ้าคุณให้คนอื่น พระเจ้าก็จะให้กับคุณ พระองค์จะใช้ถ้วยตวงที่อัดแน่นจนล้นออกมาเทลงบนตักของคุณ สรุปแล้วคุณทำกับคนอื่นแบบไหน คุณก็จะได้รับผลแบบนั้น”

39 พระองค์ยังเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้ฟังอีกว่า “คนตาบอดจะจูงคนตาบอดได้หรือ ทั้งสองคนจะไม่ตกคูหรือ 40 ลูกศิษย์จะเหนือครูหรือ แต่เมื่อเขาได้รับการอบรมครบถ้วนแล้ว เขาก็จะเป็นเหมือนกับครู

41 ทำไมคุณถึงเห็นขี้ผงในตาของพี่น้องคุณ แต่กลับมองไม่เห็นไม้ซุงทั้งท่อนในตาของตัวคุณเอง 42 แล้วคุณพูดกับพี่น้องออกมาได้ยังไงว่า ‘เดี๋ยวผมจะเขี่ยขี้ผงในตาให้นะ’ ทั้งๆที่ซุงทั้งท่อนในตาตัวเองก็ยังมองไม่เห็น ไอ้หน้าซื่อใจคด เอาท่อนซุงออกจากตาของตัวเองก่อน แล้วจะได้มองเห็นชัดๆตอนเขี่ยขี้ผงออกจากตาของพี่น้อง

ผลไม้สองชนิด

(มธ. 7:17-20; 12:34-35)

43 ต้นไม้ดีจะออกผลเลวๆไม่ได้ และต้นไม้เลวก็จะออกผลดีๆไม่ได้เหมือนกัน 44 อยากรู้ว่าต้นอะไรก็ให้ดูที่ผลของมัน คุณคงจะไม่ไปหาลูกมะเดื่อจากพุ่มไม้หนาม หรือลูกองุ่นจากกอหนามแน่ 45 คนดีก็จะทำดีเพราะจิตใจเต็มไปด้วยสิ่งที่ดีๆ คนชั่วก็จะทำชั่วเพราะจิตใจเต็มไปด้วยสิ่งชั่วๆ ใจเต็มไปด้วยอะไรปากก็จะพูดสิ่งนั้น

คนสองประเภท

(มธ. 7:24-27)

46 ในเมื่อคุณไม่ทำตามที่เราบอก จะมาเรียกเราว่า องค์เจ้าชีวิต องค์เจ้าชีวิต ทำไม 47 เราจะบอกให้รู้ว่าคนที่มาหาเราและทำตามคำสอนของเรานั้น 48 ก็เปรียบเหมือนคนสร้างบ้าน ที่ขุดดินลงไปลึก และวางรากฐานไว้บนหิน เมื่อน้ำท่วม กระแสน้ำไหลเชี่ยวมาพัดบ้าน บ้านก็ไม่สั่นคลอน เพราะสร้างไว้อย่างมั่นคง 49 แต่คนที่ได้ฟัง แล้วไม่ทำตาม ก็เปรียบเหมือนกับคนที่สร้างบ้านไว้บนดิน ไม่มีรากฐาน เมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยวมาพัดบ้าน บ้านก็พังราบคาบ เสียหายยับเยินทันที”

Footnotes

  1. 6:26 พวกผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอม คือคนที่บอกว่าเขาพูดเพื่อพระเจ้า แต่จริงๆแล้วไม่ได้พูดความจริงของพระเจ้า

บุตรมนุษย์เป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต

ครั้งหนึ่งในวันสะบาโต พระเยซูเดินผ่านไปในทุ่งนา พวกสาวกของพระองค์เริ่มเด็ดรวงข้าวมาขยี้ในมือกิน ฟาริสีบางคนถามว่า “ทำไมท่านจึงทำสิ่งต้องห้ามในวันสะบาโต” พระเยซูตอบว่า “ท่านไม่เคยอ่านเลยหรือว่า ครั้งที่ดาวิดกับพรรคพวกที่ไปด้วยได้ทำอะไรบ้างเมื่อรู้สึกหิว คราวที่ดาวิดได้เข้าไปในพระตำหนักของพระเจ้า และเอาขนมปังอันบริสุทธิ์ซึ่งไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์รับประทานยกเว้นบรรดาปุโรหิตเท่านั้นมากัดกินและให้แก่พรรคพวกของเขาด้วย”[a] พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต”

ในวันสะบาโตอีกวันหนึ่งพระองค์เข้าไปในศาลาที่ประชุมและสั่งสอน มีชายผู้หนึ่งซึ่งมือขวาลีบอยู่ที่นั่นด้วย ส่วนพวกฟาริสีและพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติต่างหาเหตุผลเพื่อใช้เป็นข้อกล่าวหาพระเยซู เขาคอยจับตาดูว่า พระองค์จะรักษาคนในวันสะบาโตหรือไม่ พระเยซูทราบความคิดของคนเหล่านั้นจึงกล่าวกับคนมือลีบว่า “จงลุกขึ้น และยืนต่อหน้าทุกๆ คนเถิด” เขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วพระเยซูกล่าวกับคนทั้งหลายว่า “เราขอถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงถูกกฎบัญญัติในวันสะบาโต การทำดีหรือการทำชั่ว การช่วยชีวิตหรือการทำลายชีวิต” 10 พระองค์มองดูทุกคนที่อยู่รอบข้าง แล้วกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “จงยื่นมือออกมาเถิด” เมื่อเขาทำตาม มือของเขาก็หายเป็นปกติ 11 คนเหล่านั้นก็โกรธมากและถกเถียงกันเองว่าจะทำอย่างไรกับพระเยซูดี

อัครทูตทั้งสิบสอง

12 วันหนึ่งพระเยซูออกไปยังแถบภูเขาและอธิษฐานต่อพระเจ้าตลอดทั้งคืน 13 เมื่อถึงเวลาเช้าพระองค์ก็เรียกสาวกทั้งหลายของพระองค์มา และเลือกสาวก 12 คนซึ่งพระองค์ตั้งให้เป็นอัครทูต 14 ซีโมนซึ่งพระองค์ตั้งชื่อว่า เปโตร อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบ ยอห์น ฟีลิป บาร์โธโลมิว 15 มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรของอัลเฟอัส ซีโมนที่เรียกว่าเป็นพรรคชาตินิยม 16 ยูดาสบุตรของยากอบ และยูดาสอิสคาริโอทซึ่งเป็นผู้ทรยศ

ความสุขและความวิบัติ

17 พระเยซูลงมาจากภูเขาพร้อมด้วยอัครทูต มายังที่ราบแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยสาวกกลุ่มใหญ่ของพระองค์ ผู้คนจำนวนมากมาจากทั่วแคว้นยูเดีย เมืองเยรูซาเล็ม และจากชายฝั่งทะเลของเมืองไทระและไซดอน 18 ต่างก็มาเพื่อฟังพระองค์ และมาขอรับการรักษาให้หายจากโรคต่างๆ รวมทั้งพวกที่ถูกวิญญาณร้ายทั้งหลายรังควานก็ได้รับการรักษาหาย 19 ฝูงชนทั้งปวงก็พยายามจะแตะต้องพระเยซู เพราะฤทธานุภาพที่ออกมาจากกายของพระองค์ ทำให้คนทั้งปวงหายจากโรคภัยต่างๆ ได้

20 พระองค์มองดูพวกสาวกของพระองค์แล้วกล่าวว่า

“ท่านผู้ยากไร้จะเป็นสุข
    เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน
21 ท่านผู้ที่หิวกระหายเวลานี้ก็เป็นสุข
    เพราะว่าท่านจะได้อิ่มหนำ
ท่านผู้ร่ำไห้เวลานี้ก็เป็นสุข
    เพราะว่าท่านจะได้หัวเราะ
22 ท่านจะเป็นสุขเมื่อถูกคนทั้งหลายเกลียดชัง
    เมื่อเขาตัดขาด ดูถูก
และประณามชื่อของท่านว่าชั่ว
    เหตุเพราะบุตรมนุษย์

23 วาระนั้นจงชื่นชมยินดีและโลดเต้นด้วยความยินดี เพราะรางวัลอันเลิศของท่านอยู่ในสวรรค์ เพราะว่าบรรพบุรุษของเขาทั้งปวงได้กระทำต่อผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าด้วยวิธีเดียวกัน

24 แต่วิบัติจงเกิดแก่ผู้มั่งมี
    เพราะว่าท่านได้รับความสบายแล้ว
25 วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่อิ่มหนำเวลานี้
    เพราะว่าท่านจะมีความอดอยาก
วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่หัวเราะเวลานี้
    เพราะว่าท่านจะมีความเศร้าโศกและร้องไห้
26 วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่เวลาคนทั่วไปพูดยกยอท่าน
    เพราะว่าบรรพบุรุษของเขาทั้งหลายได้กระทำเช่นเดียวกัน ต่อบรรดาผู้เผยคำกล่าวจอมปลอม

รักศัตรู

27 เราขอบอกท่านที่ฟังเราว่า จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน 28 จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานให้แก่คนที่กระทำผิดต่อท่าน 29 ถ้าใครตบแก้มของท่านข้างหนึ่ง จงหันอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย ถ้าใครเอาเสื้อตัวนอกของท่านไป และจะเอาเสื้อตัวในไปด้วยก็อย่าห้ามเขา 30 จงให้แก่ทุกคนที่ขอจากท่าน และถ้าผู้ใดเอาสิ่งของที่เป็นของท่านไปก็อย่าทวงกลับคืน 31 จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน

32 ถ้าท่านรักบรรดาผู้ที่รักท่าน แล้วท่านจะได้คุณประโยชน์อะไร เพราะแม้แต่คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขา 33 ถ้าท่านทำดีแก่ผู้ที่ทำดีแก่ท่าน แล้วท่านจะได้คุณประโยชน์อะไร เพราะคนบาปก็ทำเช่นนั้น 34 ถ้าท่านให้ยืมแก่ผู้ที่ท่านหวังว่าจะได้รับคืน แล้วท่านจะได้คุณประโยชน์อะไร เพราะคนบาปก็ให้ยืมแก่คนบาป ด้วยหวังว่าจะได้รับคืนทั้งหมด 35 แต่จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีต่อเขาเหล่านั้น และให้ยืมโดยไม่หวังเลยว่าจะได้รับสิ่งใดคืน แล้วท่านจะได้รับรางวัลอันเลิศ ท่านทั้งหลายก็จะได้เป็นบุตรของผู้สูงสุด ด้วยว่าพระองค์มีความกรุณาต่อคนอกตัญญูและคนชั่ว 36 จงมีความเมตตา เหมือนกับพระบิดาของท่านผู้มีความเมตตา

การตำหนิผู้อื่น

37 อย่าตำหนิติเตียนผู้อื่น แล้วท่านจะไม่ถูกตำหนิ อย่ากล่าวโทษ แล้วท่านจะไม่ถูกกล่าวโทษ จงยกโทษให้ผู้อื่น แล้วท่านจะได้รับการยกโทษ 38 จงให้แก่ผู้อื่น และท่านจะได้รับในจำนวนที่อัดเขย่าให้แน่นจนล้นบนตัก ด้วยว่าท่านตวงให้ไปเท่าใด ท่านก็จะได้รับกลับในจำนวนเท่านั้น”

39 พระองค์กล่าวเป็นอุปมาแก่เขาว่า “คนตาบอดสามารถนำทางให้คนตาบอดได้หรือไม่ ทั้งสองจะไม่พากันตกลงในบ่อหรือ 40 ศิษย์จะไม่เหนือไปกว่าอาจารย์ แต่ทุกคนที่ได้รับการอบรมฝึกฝนครบถ้วนจะเป็นดังเช่นอาจารย์ของเขา 41 เหตุใดท่านจึงมองเห็นผงในดวงตาของพี่น้องของท่าน แต่ไม่สังเกตเห็นไม้ท่อนใหญ่ในดวงตาของท่านเอง 42 ท่านพูดกับพี่น้องของท่านได้อย่างไรว่า ‘พี่น้องเอ๋ย ให้เราเขี่ยผงออกจากดวงตาของท่านเถิด’ ทั้งๆ ที่ตัวท่านไม่สามารถเห็นไม้ท่อนใหญ่ในดวงตาของท่านเอง คนหน้าไหว้หลังหลอกเอ๋ย ท่านต้องเอาไม้ท่อนใหญ่ออกจากดวงตาของท่านเสียก่อน จึงจะเห็นอย่างชัดเจน แล้วจะได้เขี่ยผงออกจากดวงตาของพี่น้องของท่านได้

ผลที่ได้จากต้นไม้

43 ไม้ดีย่อมไม่ให้ผลเลว ไม้เลวจะให้ผลดีก็ไม่ได้เช่นกัน 44 ด้วยว่า เราดูชนิดของต้นไม้ได้จากผลของมัน เราไม่สามารถเก็บผลมะเดื่อจากพืชพันธุ์ไม้มีหนาม หรือองุ่นจากพุ่มไม้ประเภทหนามได้ 45 คนดีย่อมแสดงสิ่งดีที่สะสมอยู่ในใจของเขาออกมา และคนชั่วย่อมแสดงสิ่งชั่วที่สะสมอยู่ในใจของเขาออกมาเช่นกัน เพราะว่าปากย่อมพูดแต่สิ่งที่อยู่ในใจ

ฐานรากอันมั่นคง

46 ทำไมท่านจึงเรียกเราว่า ‘พระองค์ท่าน พระองค์ท่าน’ แต่ไม่ทำตามที่เราพูด 47 เราจะชี้แจงให้ท่านเข้าใจว่า ทุกคนที่มาหาเรา ได้ยินคำของเราและปฏิบัติตาม เขาจะเป็นเช่นไร 48 เขาเหมือนกับคนที่กำลังสร้างบ้านหลังหนึ่ง และขุดลึกลงไปเพื่อวางฐานรากบนหิน เมื่อน้ำท่วม กระแสน้ำก็ซัดสาดขึ้นมา แต่ก็มิอาจขยับบ้านได้ เพราะว่าเป็นบ้านที่สร้างไว้อย่างดี 49 แต่ผู้ที่ได้ยินคำของเราและไม่ปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่สร้างบ้านบนพื้นซึ่งไม่มีฐานราก เมื่อกระแสน้ำซัดมาบ้านก็พังทลายลงได้ และความเสียหายนั้นยิ่งใหญ่นัก”