Add parallel Print Page Options

อย่าเป็นคนหน้าซื่อใจคด

12 มีชาวบ้านหลายพันคนได้มายืนเบียดเสียดกันอยู่ พระเยซูพูดกับพวกศิษย์ก่อนว่า “ระวังเชื้อของพวกฟาริสีไว้ให้ดี นั่นคือความหน้าซื่อใจคด[a]ของพวกเขา ทุกอย่างที่ปิดบังไว้ก็จะถูกเปิดโปงออกมา และทุกอย่างที่เป็นความลับก็จะถูกเปิดเผย สิ่งที่พวกคุณแอบพูดกันในที่มืดจะได้ยินในที่แจ้ง และสิ่งที่คุณกระซิบข้างหูในห้องส่วนตัว ก็จะถูกประกาศจากบนดาดฟ้า”

ควรกลัวใคร

(มธ. 10:28-31)

“เพื่อนรัก อย่ากลัวมนุษย์เลย เพราะเขาฆ่าได้แต่เพียงร่างกายเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็ทำอะไรคุณไม่ได้อีกแล้ว แต่ให้เกรงกลัวพระองค์ ผู้ที่มีอำนาจที่นอกจากจะฆ่าแล้วยังโยนลงไปในนรกได้อีกด้วย ใช่แล้ว เราบอกให้เกรงกลัวผู้นี้แหละ

ขนาดนกกระจอกห้าตัว ขายแค่สองบาท พระเจ้าก็ยังไม่เคยลืมพวกมันสักตัว ขนาดผมทุกเส้นบนหัวคุณ พระองค์ก็นับไว้หมดแล้ว อย่ากลัวเลย เพราะคุณมีค่ามากกว่านกกระจอกทั้งฝูงมากนัก”

การยอมรับพระเยซูต่อหน้ามนุษย์

(มธ. 10:32-33; 12:32; 10:19-20)

“เราจะบอกให้รู้ว่า คนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์ก็จะยอมรับเขาต่อหน้าทูตของพระเจ้าเหมือนกัน แต่คนที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับเขาต่อหน้าพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าเหมือนกัน

10 พระเจ้าจะยกโทษให้กับคนที่ใส่ร้ายบุตรมนุษย์ แต่พระเจ้าจะไม่ยกโทษให้คนที่พูดหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์

11 เมื่อคุณถูกนำตัวไปสอบสวนในที่ประชุมชาวยิว และต้องยืนอยู่ต่อหน้าพวกผู้ปกครองบ้านเมืองและผู้มีอำนาจ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะพูดแก้ตัวยังไงดี 12 เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนคุณว่าจะต้องพูดอะไรในเวลานั้น”

พระเยซูเตือนเรื่องความโลภ

13 มีชาวบ้านคนหนึ่งพูดว่า “อาจารย์ครับ ช่วยบอกให้พี่ชายผมแบ่งมรดกให้ผมด้วยครับ”

14 แต่พระเยซูตอบว่า “พ่อหนุ่ม ใครเป็นคนตั้งให้เราเป็นผู้แบ่งมรดกระหว่างคุณสองคน” 15 พระเยซูพูดอีกว่า “ระวังความโลภทุกชนิด เพราะชีวิตที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพย์สมบัติมากมาย”

16 แล้วพระองค์เล่าเรื่องเปรียบเทียบนี้ให้ฟังว่า “มีชายที่ร่ำรวยคนหนึ่ง ไร่นาของเขาให้พืชผลดีมาก 17 เขาคิดในใจว่า ‘ข้าจะทำยังไงดี ไม่มีที่จะเก็บพืชผลพวกนี้ของข้าแล้ว’ 18 เขาจึงคิดว่า ‘อ๋อ รู้แล้ว ข้าจะรื้อยุ้งฉางพวกนี้ของข้าทิ้งแล้วสร้างขึ้นใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม เพื่อจะได้เก็บพืชผลและสิ่งของทั้งหมดของข้าไว้ที่นั่น’ 19 แล้วจะบอกกับตัวเองว่า ‘ข้าได้เก็บสะสมของดีๆไว้ตั้งมากมายแล้ว มีพอสำหรับหลายปี ไปกิน ดื่มและใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานดีกว่า’ 20 แต่พระเจ้าบอกกับเขาว่า ‘ไอ้โง่ คืนนี้เจ้าก็จะตายแล้ว แล้วของที่เจ้าสะสมไว้จะตกไปเป็นของใครกัน’

21 มันก็จะเป็นอย่างนี้แหละ สำหรับคนที่ชอบสะสมความร่ำรวยให้กับตัวเอง แต่ไม่ร่ำรวยในสายตาพระเจ้า”

แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อน

(มธ. 6:25-34, 19-21)

22 แล้วพระเยซูก็พูดกับพวกศิษย์ว่า “เพราะอย่างนี้ เราถึงขอบอกพวกคุณว่า ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิตนี้ ว่าจะมีอะไรกิน หรือเป็นห่วงร่างกายว่าจะมีอะไรสวมใส่ไหม 23 เพราะชีวิตนั้นสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเสื้อผ้า 24 ดูอย่างอีกาสิ มันไม่ต้องหว่านหรือเก็บเกี่ยว ไม่มีห้องเก็บของหรือยุ้งฉาง แต่พระเจ้าก็เลี้ยงดูพวกมัน พวกคุณมีค่ามากกว่านกหลายเท่านัก 25 กังวลไปทำไม กังวลแล้วทำให้ชีวิตคุณยืดออกไปได้อีกสักชั่วโมงหรือเปล่าล่ะ 26 ถ้าแม้แต่เรื่องเล็กแค่นี้ ยังทำไม่ได้เลย แล้วยังจะไปกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นเรื่องนี้อีกทำไม 27 ดูอย่างดอกไม้ป่าสิว่ามันโตได้ยังไง มันไม่ได้ทำงาน และไม่ได้ปั่นด้ายเอง แต่ก็ยังสวยกว่ากษัตริย์ซาโลมอนในชุดเต็มยศเสียอีก 28 ขนาดหญ้าในทุ่งซึ่งอยู่แค่วันนี้ แล้วพรุ่งนี้ถูกเผา พระเจ้ายังรู้จักที่จะตกแต่งให้สวยแบบนี้ แล้วนับประสาอะไรกับพวกคุณเล่า พระองค์จะไม่ยิ่งตกแต่งให้มากกว่าทุ่งหญ้าหรือ พวกคุณนี่ช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริงๆ 29 เลิกกังวลเกี่ยวกับอาหารได้แล้ว ว่าจะมีอะไรกินหรือดื่ม 30 ชนชาติทั้งหลายในโลกนี้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าก็ดิ้นรนหาสิ่งเหล่านี้กัน แต่พระบิดาของคุณรู้อยู่แล้วว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นสำหรับคุณ 31 แต่ให้ดิ้นรนหาอาณาจักรของพระเจ้าแทน แล้วพระองค์จะให้สิ่งที่จำเป็นทั้งหมดนี้กับคุณ”

อย่าไว้วางใจเงิน

32 “ฝูงแกะเล็กๆเอ๋ย ไม่ต้องกลัวนะ เพราะพระบิดาของคุณยินดีที่จะมอบอาณาจักรให้กับคุณ 33 ให้ไปขายทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ เอาเงินไปแจกให้กับคนจน แล้วจัดหาถุงเงินที่ไม่มีวันเก่าหรือขาดให้กับตัวเอง คือทรัพย์สมบัติบนสวรรค์ที่ไม่มีวันหมด ขโมยก็ลักเอาไปไม่ได้ และตัวมอดก็กัดกินไม่ได้ด้วย 34 เพราะทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ที่ไหน ใจของคุณก็อยู่ที่นั่นด้วย”

เตรียมตัวให้พร้อมเสมอ

(มธ. 24:45-51)

35 “แต่งตัวเตรียมพร้อมที่จะรับใช้อยู่เสมอ และจุดตะเกียงให้ส่องสว่างอยู่เสมอ 36 เหมือนกับคนที่กำลังคอยเจ้านายของตนกลับมาจากงานแต่งงาน เมื่อเขามาเคาะประตูเรียก ก็จะได้เปิดให้ทันที 37 พวกคนใช้ที่เจ้านายกลับมาพบว่ายังคงตื่นคอยเขาอยู่ ก็ถือว่ามีเกียรติจริงๆ เราจะบอกให้รู้ว่า นายคนนั้นจะพาพวกคนใช้ไปนั่งที่โต๊ะ และเขาก็จะใส่ผ้ากันเปื้อน มาคอยให้บริการพวกคนใช้ที่นั่งกินอยู่ 38 ถ้านายกลับมาตอนเที่ยงคืนหรือดึกกว่านั้น แล้วพบว่าคนใช้ยังอยู่เตรียมพร้อมอย่างนั้น พวกเขาก็มีเกียรติจริงๆ 39 แต่ให้รู้นะว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ตัวว่า ขโมยจะมาเวลาไหน เขาคงไม่ปล่อยให้ขโมยงัดเข้ามาในบ้านแน่ 40 พวกคุณก็เหมือนกัน ให้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพราะบุตรมนุษย์จะมาตอนที่คุณคาดไม่ถึง”

ใครคือผู้รับใช้ที่ไว้ใจได้

(มธ. 24:45-51)

41 เปโตรได้ถามว่า “อาจารย์ครับ เรื่องเปรียบเทียบนี้ อาจารย์เล่าให้แต่พวกเราฟังเท่านั้น หรือเล่าให้กับทุกคนฟัง”

42 องค์เจ้าชีวิตจึงตอบว่า “ใครคือพ่อบ้านที่ซื่อสัตย์และฉลาด ที่เจ้านายมอบหมายให้ดูแลและจัดหาอาหารให้กับทาสอื่นๆตามเวลา 43 เมื่อนายกลับมาเห็นทาสคนนั้นทำงานอย่างดี ทาสคนนั้นก็จะได้รับเกียรติจริงๆ 44 เราจะบอกให้รู้ว่า เจ้านายจะแต่งตั้งทาสคนนั้นให้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา 45 แต่ถ้าทาสคนนั้นคิดในใจว่า ‘นายของข้ายังไม่กลับมาหรอก’ ก็เลยเริ่มทุบตีพวกทาสชายหญิงคนอื่นๆและกินดื่มจนเมามาย 46 เจ้านายจะกลับมาในวันและเวลาที่เขาไม่คาดคิด แล้วเขาก็จะถูกตัดเป็นชิ้นๆพร้อมกับทาสคนอื่นๆที่ไม่เชื่อฟัง

47 ทาสที่ไม่ยอมเตรียมตัว หรือไม่ทำตามสิ่งที่เจ้านายสั่งให้ทำ จะถูกเฆี่ยนอย่างหนัก 48 แต่ถ้าทาสไม่รู้ว่าเจ้านายสั่งให้ทำอะไร ก็จะถูกเฆี่ยนน้อยหน่อยเมื่อทำผิด พระเจ้าให้พระพรกับใครมาก คนนั้นก็ต้องคืนมาก พระเจ้าฝากความรับผิดชอบให้กับใครมาก พระองค์ก็จะคาดหวังมากจากคนนั้น”

ความแตกแยกกันเรื่องพระเยซู

(มธ. 10:34-36)

49 “เรามาเพื่อทำให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ เราอยากให้มันลุกเป็นไฟเดี๋ยวนี้เลย 50 แต่เราต้องได้รับการจุ่มลงไปในความทุกข์เสียก่อน เราเองก็รู้สึกทุกข์ใจมากจนกว่ามันจะสำเร็จ 51 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำความสงบสุขมาให้กับโลกนี้ แต่เรามาเพื่อทำให้เกิดการแตกแยกต่างหาก 52 ต่อไปนี้ครอบครัวที่มีห้าคนจะแตกแยกกันเป็นสองฝ่าย สามต่อสอง หรือสองต่อสาม 53 จะเกิดการแตกแยกกันระหว่างพ่อกับลูกชาย แม่กับลูกสาว และแม่ผัวกับลูกสะใภ้”

ให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวนี้

(มธ. 16:2-3)

54 แล้วพระเยซูหันไปพูดกับชาวบ้านว่า “เมื่อคุณเห็นก้อนเมฆมืดครึ้มลอยมาจากทิศตะวันตก คุณก็พูดว่า ‘ฝนจะตกแล้ว’ แล้วมันก็ตกจริงๆ 55 เมื่อคุณเห็นลมพัดมาจากทิศใต้ คุณก็บอกว่า ‘อากาศจะร้อนแน่ๆ’ และมันก็เป็นอย่างนั้น 56 ไอ้พวกหน้าซื่อใจคด พวกคุณรู้จักที่จะตีความหมายของดินฟ้าอากาศ แต่กลับไม่รู้จักความหมายของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้

ไกล่เกลี่ยกับคู่กรณี

(มธ. 5:25-26)

57 คุณตัดสินใจเอาเองไม่ได้หรือ ว่าคุณควรจะทำยังไง 58 เมื่อคุณกำลังไปศาลกับคนที่ฟ้องร้องคุณ พยายามไกล่เกลี่ยกับเขาซะในระหว่างทาง ไม่อย่างนั้นเขาจะลากตัวคุณไปพบผู้พิพากษา และผู้พิพากษาก็จะส่งตัวคุณให้กับผู้คุมเพื่อจับเข้าคุก 59 เราจะบอกให้รู้ว่าคุณจะถูกขังจนกว่าจะใช้หนี้ครบทุกบาททุกสตางค์”

Footnotes

  1. 12:1 หน้าซื่อใจคด หรือหน้าไหว้หลังหลอก คำนี้แปลตรงๆจากภาษากรีกว่า การแสดงหรือการเล่นละคร

พระเยซูตักเตือนสาวก

12 ในขณะที่คนจำนวนนับพันได้ชุมนุมเบียดเสียดกันอยู่ พระเยซูได้กล่าวกับสาวกของพระองค์ในตอนแรกว่า “จงระวังเชื้อยีสต์[a]ของพวกฟาริสี คือการเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้แล้วจะไม่ถูกเปิดเผยออก และที่ซ่อนไว้แล้วจะไม่แสดงให้เป็นที่รับรู้ สิ่งใดก็ตามที่เจ้าพูดในที่มืดจะได้ยินกันในที่แจ้ง และสิ่งใดที่เจ้ากระซิบในห้องลับจะถูกประกาศจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน

เพื่อนเอ๋ย เราขอบอกว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่เพียงร่างกาย จากนั้นก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้อีก เราจะชี้ให้เห็นว่าเจ้าควรกลัวใคร จงกลัวพระองค์ผู้สังหารเจ้าแล้ว ยังมีอำนาจโยนเจ้าลงนรกได้ ใช่แล้ว เราขอบอกเจ้าว่า จงกลัวพระองค์เถิด นกกระจอก 5 ตัวขายได้ในราคาเพียงบาทสองบาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น พระเจ้าก็ไม่ลืมมันสักตัว แม้แต่ผมบนศีรษะของเจ้า พระเจ้าก็นับไว้แล้ว อย่ากลัวเลย เจ้ามีค่ายิ่งกว่านกกระจอกหลายตัว

เราขอบอกเจ้าว่า ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์ก็จะยอมรับเขาต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าด้วย แต่ผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับเขาต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า 10 ผู้ที่กล่าวแย้งต่อบุตรมนุษย์ยังจะได้รับการยกโทษอยู่ แต่ผู้ที่พูดจาหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้รับการยกโทษ 11 เมื่อเจ้าถูกพาตัวไปยังศาลาที่ประชุม หรืออยู่ต่อหน้าบรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองและบรรดาผู้มีสิทธิอำนาจ ก็อย่ากังวลว่าจะตอบโต้อย่างไรหรือเจ้าจะพูดอะไร 12 เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเจ้าในเวลานั้นว่า เจ้าควรจะพูดอะไร”

อุปมาเรื่องคนมั่งมีกับความเขลา

13 มีคนหนึ่งในฝูงชนได้บอกพระองค์ว่า “อาจารย์ ช่วยบอกพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้แก่ข้าพเจ้าบ้าง” 14 พระเยซูกล่าวว่า “เจ้าหนุ่มเอ๋ย ใครแต่งตั้งให้เราเป็นผู้พิพากษาหรือผู้แบ่งมรดกให้แก่เจ้า” 15 แล้วก็กล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “จงระวังเถิด จงระวังตัวจากความโลภทุกชนิด ชีวิตของคนไม่ได้นับจากการมีทรัพย์สินมั่งคั่ง” 16 แล้วพระองค์ได้กล่าวเป็นอุปมากับเขาว่า “คนมั่งมีคนหนึ่งมีที่ดินผืนงามที่ให้ผลดี 17 เขาคิดในใจว่า ‘จะทำอย่างไรดีหนอในเมื่อเราไม่มีที่เก็บพืชผลเลย’ 18 แล้วเขาพูดขึ้นว่า ‘เอาอย่างนี้ดีกว่า เราจะรื้อยุ้งเดิมออก แล้วสร้างให้ใหญ่ขึ้น จะได้มีที่เก็บพืชผลและสินค้า 19 ครั้งนี้เราจะได้บอกตัวเองได้ว่า “เจ้ามีสรรพสิ่งที่สะสมไว้อย่างอุดมสมบูรณ์จนพอใช้ไปอีกหลายปี จงใช้ชีวิตแบบสบาย กินและดื่มและสำเริงสำราญเถิด”’ 20 แต่พระเจ้ากล่าวกับเขาว่า ‘เจ้าคนเขลา ในคืนนี้แหละที่ชีวิตของเจ้าจะดับลง แล้วใครจะได้สิ่งที่เจ้าตระเตรียมไว้สำหรับตนเอง’ 21 นี่คือสิ่งที่จะเกิดกับคนที่สะสมทรัพย์สมบัติให้ตัวเอง แต่ไม่เผื่อแผ่แก่พระเจ้าเลย”

ความกังวล

22 แล้วพระเยซูกล่าวกับเหล่าสาวกต่อไปอีกว่า “ฉะนั้นอย่ากังวลกับชีวิตว่าจะกินอะไร หรือกับร่างกายของเจ้าว่าจะนุ่งห่มอะไร 23 ชีวิตมีค่ายิ่งกว่าอาหาร และร่างกายมีค่ายิ่งกว่าเสื้อผ้า 24 จงดูเถิดว่า อีกาไม่หว่านไม่เก็บเกี่ยว มันไม่มีห้องเก็บหรือยุ้งฉาง พระเจ้าก็ยังเลี้ยงมัน เจ้ามีคุณค่ามากกว่าพวกนกเพียงไร 25 มีใครบ้างที่สามารถยืดชีวิตให้ยาวได้ด้วยความวิตกกังวล 26 ในเมื่อเจ้าไม่สามารถทำสิ่งเล็กน้อยนี้ได้ แล้วจะวิตกถึงสิ่งอื่นๆ ทำไม 27 จงพิจารณาดูว่าดอกไม้ป่าเติบโตขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่ทำงานหรือปั่นด้าย อย่างไรก็ดีเราขอบอกเจ้าว่า แม้แต่กษัตริย์ซาโลมอนผู้พร้อมด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ ยังทรงเครื่องไม่งามเท่าดอกไม้ดอกหนึ่ง 28 ถ้าพระเจ้าตกแต่งหญ้าซึ่งยังอยู่ในทุ่งวันนี้ และพรุ่งนี้ถูกโยนลงในเตาไฟ พระองค์จะตกแต่งให้เจ้ามากกว่าเพียงไร เจ้านี่ช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง 29 อย่าตั้งความหวังว่าจะกินหรือดื่มอะไร และอย่าวิตกเรื่องนั้นเลย 30 เพราะชาติต่างๆ ในโลกล้วนเสาะหาสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ และพระบิดาของเจ้าทราบว่าเจ้ามีความจำเป็นในสิ่งเหล่านี้ 31 แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระองค์ แล้วพระองค์จะเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ให้แก่เจ้าเอง

32 อย่ากลัวไปเลย แกะฝูงน้อยๆ เอ๋ย เพราะพระบิดาของเจ้าพอใจที่จะมอบอาณาจักรนั้นให้แก่เจ้า 33 จงขายของที่เจ้ามีอยู่เพื่อให้แก่คนยากไร้ จัดหาถุงเงินที่ไม่มีวันขาดสำหรับตนเอง เพื่อทรัพย์สมบัติในสวรรค์จะไม่มีวันหมด เป็นที่ซึ่งขโมยไม่อาจเข้าใกล้ และไม่มีแมลงกินผ้า 34 เพราะว่าทรัพย์สมบัติของเจ้าอยู่ที่ไหน ใจของเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย

จงเตรียมพร้อมอยู่เสมอ

35 จงแต่งกายไว้ให้พร้อมที่จะรับใช้ และให้ตะเกียงของเจ้าจุดอยู่ 36 เหมือนกับคนที่คอยนายกลับจากงานเลี้ยงสมรส เมื่อนายมาและเคาะประตู เขาจะได้เปิดให้นายได้ทันที 37 ผู้รับใช้ย่อมเป็นสุข เมื่อนายกลับมาแล้วพบว่าพวกเขากำลังเฝ้าคอยอยู่ เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า นายจะแต่งตัวไว้ให้พร้อมที่จะรับใช้ โดยให้คนรับใช้เอนกายลงรับประทาน และนายเข้ามารอรับใช้พวกเขา 38 พวกคนรับใช้ก็จะเป็นสุข เมื่อนายเห็นว่าพวกเขาเตรียมพร้อม แม้ว่านายกลับมายามดึกหรือรุ่งอรุณก็ตาม 39 จงเข้าใจด้วยว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้เวลาที่ขโมยจะมา เขาก็จะไม่ยอมให้ขโมยบุกรุกเข้ามาในบ้านได้ 40 เจ้าก็ต้องเตรียมพร้อมเช่นกัน เพราะบุตรมนุษย์จะมาในยามที่เจ้าไม่ได้คาดคิดไว้”

41 เปโตรถามว่า “พระองค์ท่าน พระองค์เล่าเรื่องเป็นอุปมานี้สำหรับพวกเราหรือสำหรับทุกคน” 42 พระเยซูเจ้าตอบว่า “ใครเล่าที่เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ที่ทั้งซื่อสัตย์และชาญฉลาด ที่นายมอบหน้าที่ให้แจกอาหารแก่คนรับใช้อื่นตามเวลา 43 ผู้รับใช้นั้นจะเป็นสุขเมื่อนายกลับมาพบว่าเขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ 44 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า นายจะมอบหน้าที่ให้เขาดูแลทุกสิ่งที่เขามี 45 แต่ถ้าผู้รับใช้พูดกับตนเองว่า ‘กว่านายของเราจะมาก็อีกนาน’ และเขาก็ทุบตีคนรับใช้อื่นๆ ทั้งชายและหญิง แล้วดื่มกินจนเมามาย 46 นายของผู้รับใช้คนนั้นจะมาในวันที่ไม่คาดคิดและในยามที่เขาไม่รู้ นายจะทำโทษอย่างสาหัสสากรรจ์ และให้ไปอยู่กับพวกที่ไม่ภักดี 47 คนรับใช้ที่รู้ความประสงค์ของนาย แต่ไม่เตรียมพร้อมและไม่ปฏิบัติตามที่นายต้องการ ก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก 48 ส่วนคนที่ไม่รู้ก็สมควรที่จะถูกลงโทษสถานเบา ทุกคนที่ได้รับมาก ก็ถูกเรียกร้องคืนจากเขามาก และคนที่ได้รับมากกว่านั้น ก็ยิ่งถูกเรียกร้องคืนมากกว่าอีก

สันติสุขหรือการแตกแยก

49 เรามาเพื่อที่จะโยนไฟลงบนโลก และปรารถนาอย่างยิ่งว่าไฟนั้นได้ถูกจุดไว้แล้ว 50 แต่เรามีบัพติศมาอย่างหนึ่งที่จะต้องรับซึ่งทำให้เราเป็นทุกข์มาก จนกว่าจะเสร็จบริบูรณ์ 51 เจ้าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติสุขมาสู่โลกหรือ เปล่าเลย ความเป็นจริงเรานำความแตกแยกมา 52 เพราะตั้งแต่นี้ไปจะมี 5 คนในครอบครัวหนึ่งแตกแยกกันเอง คือสามต่อสอง และสองต่อสาม 53 พ่อต่อต้านลูกชาย และลูกชายต่อต้านพ่อ แม่ต่อต้านลูกสาว และลูกสาวต่อต้านแม่ แม่สามีต่อต้านลูกสะใภ้และลูกสะใภ้ต่อต้านแม่สามี”

54 พระองค์กล่าวกับหมู่คนนั้นว่า “เวลาที่ท่านเห็นหมู่เมฆรวมตัวกันทางทิศตะวันตกก็พูดทันทีว่า ‘ฝนกำลังจะตก’ แล้วมันก็ตก 55 เวลาที่ลมใต้พัด ท่านมักจะพูดว่า ‘อากาศจะร้อน’ แล้วมันก็ร้อน 56 พวกหน้าไหว้หลังหลอก ท่านรู้จักตีความการแปรเปลี่ยนของแผ่นดินและท้องฟ้า แต่ทำไมท่านจึงไม่รู้จักตีความของยามนี้

57 ทำไมท่านไม่ตัดสินเองว่า อะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 58 ระหว่างทางที่จะไปพบเจ้าหน้าที่บังคับคดี จงพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะปรองดองกับโจทก์ มิฉะนั้นเขาอาจจะลากท่านไปหาผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะส่งเรื่องต่อให้ผู้คุม และผู้คุมโยนท่านเข้าคุก 59 เราขอบอกท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าท่านจะจ่ายเงินเหรียญสุดท้ายเสียก่อน”

Footnotes

  1. 12:1 เชื้อยีสต์ ในพระคัมภีร์มักจะหมายถึงสิ่งที่ชั่วร้าย