Add parallel Print Page Options

หญิงคนหนึ่งถูกจับขณะมีชู้

ส่วนพระเยซูก็กลับไปที่ภูเขามะกอกเทศ ตอนเช้าตรู่พระองค์กลับไปที่วิหารอีกครั้งหนึ่ง คนทั้งหลายก็มาหาพระองค์ พระเยซูนั่งลงและเริ่มสั่งสอนผู้คน พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีได้นำผู้หญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งปวง หญิงคนนี้ถูกจับได้คาหนังคาเขาขณะมีชู้อยู่ พวกเขาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับได้ในขณะที่กำลังมีชู้อยู่ ในกฎปฏิบัตินั้น โมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนที่ทำอย่างนี้ให้ตาย แล้วอาจารย์จะว่ายังไง” (ที่พวกเขาถามอย่างนี้เพื่อจะให้พระองค์หลงกลและจะได้หาเรื่องฟ้องร้องพระองค์) พระเยซูได้แต่ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนไปมาบนพื้นดิน แต่พวกนั้นก็ยังคะยั้นคะยอให้พระองค์ตอบ พระองค์จึงยืนขึ้นพูดว่า “พวกคุณคนไหนที่ไม่มีความผิดเลย ก็ให้เอาหินขว้างหญิงคนนี้เป็นคนแรก” แล้วพระองค์ก็ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนบนพื้นดินต่อ

เมื่อได้ยินพระเยซูพูดอย่างนั้น พวกนั้นก็หลบไปทีละคนสองคน คนที่มีอายุมากที่สุดเริ่มเดินจากไปก่อนจนเหลือแต่พระเยซูกับหญิงคนนั้นอยู่ที่นั่น 10 พระเยซูลุกขึ้น และถามหญิงคนนั้นว่า “พวกเขาไปไหนกันหมดแล้ว ไม่มีใครลงโทษคุณหรือ”

11 หญิงคนนั้นตอบว่า “ไม่มีค่ะ” แล้วพระเยซูก็พูดว่า “เราก็ไม่ลงโทษคุณเหมือนกัน ไปเถอะแล้วอย่าทำบาปอีก”

พระเยซูเป็นความสว่างของโลก

12 แล้วพระเยซูก็พูดกับพวกที่ชุมนุมอยู่อีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ติดตามเรามาจะไม่เดินอยู่ในความมืด แต่จะมีความสว่างที่นำไปสู่ชีวิต”

13 ดังนั้นพวกฟาริสีจึงพูดกับพระองค์ว่า “แกพูดเองเออเอง คำพยานของแกเชื่อถือไม่ได้หรอก”

14 พระเยซูตอบว่า “ถึงแม้ว่าเราจะเป็นพยานให้กับตัวเอง สิ่งที่เราพูดก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าตัวเราเองมาจากไหนและกำลังจะไปไหน แต่พวกคุณไม่รู้ว่าเรามาจากไหนหรือกำลังจะไปไหน 15 คุณตัดสินเราตามวิธีของมนุษย์ เราไม่ได้ตัดสินใครแบบนั้น 16 แต่ถ้าเราจะตัดสิน คำตัดสินของเราก็ถูกต้องเพราะเราไม่ได้ตัดสินคนเดียว แต่เราตัดสินร่วมกับพระบิดาผู้ส่งเรามา 17 ในกฎปฏิบัติของคุณบอกว่า ถ้ามีพยานสองคนพูดตรงกันก็ถือว่าเป็นความจริง 18 เราเป็นพยานให้กับตัวเอง และพระบิดาที่ส่งเรามาก็เป็นพยานให้กับเราอีกผู้หนึ่ง”

19 พวกเขาจึงถามว่า “แล้วไหนล่ะพ่อของแกที่แกพูดถึง”

พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่รู้จักเราหรือพระบิดาของเราหรอก เพราะถ้าคุณรู้จักเรา คุณก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” 20 ตอนที่พระเยซูพูดเรื่องนี้ พระองค์กำลังสอนอยู่ในห้องที่เขาใช้ตั้งตู้บริจาคในบริเวณวิหาร ไม่มีใครมาจับกุมพระองค์เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์

พวกยิวไม่เข้าใจพระเยซู

21 พระเยซูพูดกับพวกประชาชนอีกว่า “พวกคุณจะตามหาเรา แต่จะตายอยู่ในความบาปของตัวเอง ที่ซึ่งเรากำลังจะไปนั้นพวกคุณไปไม่ได้”

22 พวกผู้นำชาวยิวจึงถามกันว่า “มันกำลังจะฆ่าตัวตายหรือยังไงถึงพูดว่า ‘ที่ซึ่งเราจะไปนั้น พวกคุณไปไม่ได้’”

23 พระเยซูพูดว่า “พวกคุณมาจากโลกข้างล่าง แต่เรามาจากข้างบน พวกคุณเป็นของโลกนี้ แต่เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ 24 เราถึงได้บอกว่า พวกคุณจะตายอยู่ในความบาปของตัวเอง ใช่แล้ว ถ้าคุณไม่เชื่อว่าเราเป็นคนๆนั้นที่เราบอกว่าเราเป็น[a] คุณก็จะตายอยู่ในความบาป”

25 พวกยิวถามพระองค์ว่า “แล้วแกเป็นใครล่ะ” พระเยซูตอบว่า “เราเป็นคนๆนั้นที่เราได้บอกพวกคุณตั้งแต่แรกแล้วว่าเราเป็น 26 ความจริงแล้วเรามีหลายเรื่องที่จะต่อว่าพวกคุณ แต่เราจะพูดเฉพาะเรื่องที่เราได้ยินมาจากพระองค์ผู้ที่ส่งเรามาเท่านั้น และพระองค์ก็พูดความจริง”

27 (พวกเขาไม่รู้ว่าพระเยซูกำลังพูดถึงพระบิดา) 28 ดังนั้นพระเยซูจึงพูดว่า “เมื่อพวกคุณยกบุตรมนุษย์ขึ้น คุณก็จะได้รู้ว่าเราเป็นคนๆนั้นที่เราบอกว่าเราเป็น เราไม่ได้ทำอะไรตามใจของตัวเอง แต่เราพูดเฉพาะสิ่งเหล่านั้นที่พระบิดาได้สอนเรามา 29 พระองค์ผู้ส่งเรามาก็อยู่กับเรา พระองค์ไม่เคยทิ้งเราไว้ให้อยู่คนเดียว เพราะเราทำตามใจพระองค์เสมอ” 30 เมื่อพระเยซูพูดอย่างนี้ก็มีหลายคนไว้วางใจพระองค์

พระเยซูพูดเรื่องการหลุดพ้นจากบาป

31 ดังนั้นพระเยซูจึงพูดกับชาวยิวที่ไว้วางใจในพระองค์ว่า “ถ้าพวกคุณยังคงทำตามคำสั่งสอนของเรา พวกคุณก็เป็นศิษย์ของเราจริงๆ 32 พวกคุณจะรู้จักความจริงและความจริงจะทำให้พวกคุณเป็นอิสระ”

33 พวกเขาตอบว่า “พวกเราเป็นลูกหลานของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสใคร ทำไมอาจารย์ถึงพูดว่า ‘พวกคุณจะถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ’”

34 พระเยซูตอบว่า “เราจะบอกให้รู้นะว่าจริงๆแล้วคนที่ยังทำบาปอยู่ก็เป็นทาสของความบาป 35 ทาสไม่ใช่คนในครอบครัว แต่ลูกเป็นคนในครอบครัวตลอดไป 36 ดังนั้นถ้าพระบุตรปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระ คุณก็จะเป็นอิสระจริงๆ 37 เราก็รู้อยู่แล้วว่าพวกคุณเป็นลูกหลานของอับราฮัม แต่พวกคุณพยายามจะฆ่าเรา เพราะว่าคุณไม่ทำตามคำสั่งสอนของเรา 38 เราได้บอกคุณถึงสิ่งที่เราได้เห็นจากพระบิดาของเรา แต่พวกคุณกลับไปทำตามสิ่งที่คุณได้ยินจากพ่อของคุณเอง”

39 พวกเขาพูดว่า “อับราฮัมเป็นพ่อของพวกเรานะ”

พระเยซูจึงพูดว่า “ถ้าพวกคุณเป็นลูกหลานของอับราฮัมจริง คุณจะต้องทำตามที่อับราฮัมทำ 40 เราได้เอาความจริงที่ได้ยินจากพระเจ้ามาบอกพวกคุณ แต่คุณกลับจะฆ่าเรา อับราฮัมไม่เคยทำอย่างนี้เลย 41 แต่คุณทำตามที่พ่อของคุณทำ”

พวกยิวจึงพูดกับพระเยซูว่า “พวกเราไม่ได้เป็นลูกชู้ พระเจ้าเท่านั้นคือพ่อที่แท้จริงของเรา”

42 พระเยซูพูดว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพ่อของพวกคุณจริงๆพวกคุณก็คงรักเราแล้ว เพราะเรามาจากพระเจ้า ที่เราอยู่ที่นี่ก็เพราะพระเจ้าส่งมา เราไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเอง 43 ที่พวกคุณไม่เข้าใจเรื่องที่เราพูดก็เพราะคุณทนฟังไม่ได้ 44 พวกคุณมาจากพ่อของคุณที่เป็นมารร้าย และพวกคุณก็อยากจะทำตามใจพ่อของคุณ มันเป็นนักฆ่าคนมาตั้งแต่แรกแล้ว และมันก็ไม่เคยอยู่ฝ่ายความจริงเลย เพราะมันไม่มีความจริงในตัวเอง มันพูดโกหกตามสันดานของมัน เพราะมันเป็นนักโกหก และเป็นพ่อของการโกหก 45 เมื่อเราพูดความจริง พวกคุณก็เลยไม่เชื่อเรา 46 มีใครบ้างในพวกคุณที่พิสูจน์ได้ว่าเราทำบาป แล้วทำไมถึงไม่ยอมเชื่อเราเมื่อเราพูดความจริง 47 คนของพระเจ้าจะฟังคำพูดของพระเจ้า แต่ที่พวกคุณไม่ยอมฟังเรา ก็เพราะคุณไม่ได้เป็นคนของพระเจ้า”

พระเยซูพูดถึงตัวเองและอับราฮัม

48 พวกยิวได้ถามพระองค์ว่า “พวกเราพูดผิดตรงไหนที่ว่าแกเป็นชาวสะมาเรีย และมีผีสิง”

49 พระเยซูตอบว่า “เราไม่ได้ถูกผีสิง เราได้ให้เกียรติพระบิดาของเราแต่พวกคุณกลับลบหลู่เรา 50 เราไม่ได้อยากเด่นอยากดัง แต่พระเจ้าต้องการให้เรายิ่งใหญ่และพระองค์เป็นผู้ตัดสิน 51 เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าใครทำตามคำสั่งสอนของเรา คนๆนั้นจะไม่มีวันตาย”

52 พวกยิวพูดกับพระองค์ว่า “ตอนนี้เรารู้แล้วว่าแกถูกผีสิงแน่ เพราะทั้งอับราฮัมและพวกผู้พูดแทนพระเจ้า ก็ตายกันหมดแล้ว แต่แกกลับพูดว่า ‘ถ้าใครทำตามคำสั่งสอนของเรา คนๆนั้นจะไม่มีวันตาย’ 53 แกยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัม พ่อของเราหรือไง อับราฮัมตาย พวกผู้พูดแทนพระเจ้าก็ตาย แล้วแกคิดว่าแกเป็นใคร”

54 พระเยซูตอบว่า “ถ้าเรายกย่องตัวเอง คำยกย่องนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร พระบิดาของเรา ที่พวกคุณอ้างว่าเป็นพระเจ้าของพวกคุณนั่นแหละ เป็นผู้ที่ยกย่องเรา 55 จริงๆแล้วพวกคุณไม่รู้จักพระองค์หรอก แต่เรารู้จักพระองค์ ถ้าเราพูดว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’ เราก็จะเป็นคนโกหกเหมือนกับพวกคุณ เรารู้จักพระองค์และทำตามที่พระองค์บอก 56 อับราฮัมบรรพบุรุษของคุณดีใจที่จะได้เห็นวันที่เรามา เขาได้เห็นแล้วและก็ดีใจแล้วด้วย”

57 พวกยิวพูดว่า “แกอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี จะเคยเห็นอับราฮัมได้ยังไง”

58 พระเยซูตอบว่า “ความจริงแล้วเราเป็นอยู่ ก่อนที่อับราฮัมจะเกิดเสียอีก”[b] 59 คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้าง[c]พระเยซู แต่พระองค์ได้หลีกหนีออกไปจากวิหาร

Footnotes

  1. 8:24 เราเป็น มี 2 ความหมาย ความหมายแรก พระเยซูเป็นอยู่ก่อนแล้ว กับความหมายที่สอง คือ “เราเป็น” เป็นชื่อที่พระเจ้าใช้เรียกตัวเองกับโมเสสที่พุ่มไม้ไฟ ในหนังสืออพยพ 3:14 พวกยิวเห็นว่าพระเยซูใช้ชื่อของพระเจ้านี้เรียกตัวเอง จึงจะเอาหินขว้างพระองค์
  2. 8:58 เราเป็น … เกิดเสียอีก ดูคำอธิบายเพิ่มเติมได้จากหนังสือยอห์น 8:24
  3. 8:59 หยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้าง เป็นวิธีการประหารชีวิตอย่างหนึ่งในกฎปฏิบัติของยิว

หญิงผู้ล่วงประเวณี

แต่พระเยซูเดินทางไปยังภูเขามะกอก พอเช้าตรู่พระเยซูไปที่พระวิหารอีก และผู้คนต่างก็พากันมาหา พระองค์นั่งลงและเริ่มสั่งสอนพวกเขา บรรดาอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสีได้พาหญิงคนหนึ่งที่ถูกจับฐานผิดประเวณีมายืนต่อหน้าทุกคนที่นั่น คนเหล่านั้นพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะที่กำลังล่วงประเวณี กฎบัญญัติของโมเสสได้สั่งให้เราเอาหินขว้างผู้หญิงอย่างนี้ แล้วท่านจะว่าอย่างไร” คนเหล่านั้นยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นการทดสอบพระองค์เพื่อจะใช้เป็นเหตุในการกล่าวหาพระองค์ แต่พระเยซูกลับก้มตัวลงเอานิ้วมือเขียนที่พื้นดิน แต่คนเหล่านั้นยังคงถามพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีก พระองค์จึงยืนขึ้นและถามว่า “พวกท่านคนใดที่ไม่มีบาป ก็ให้เป็นคนแรกที่ใช้ก้อนหินขว้างนาง” แล้วพระองค์ก็ก้มลงเขียนบนพื้นดินต่อไป คนพวกนั้นจึงเริ่มถอยออกไปทีละคน โดยเริ่มจากคนที่มีอาวุโสก่อน ในที่สุดก็มีเพียงพระองค์อยู่ที่นั่นกับหญิงคนนั้นซึ่งยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ 10 พระเยซูยืนขึ้นและกล่าวกับนางว่า “หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด ไม่มีใครกล่าวโทษเจ้าหรือ” 11 นางพูดว่า “ไม่มีใครเลย นายท่าน” พระเยซูกล่าวว่า “เราก็ไม่กล่าวโทษเจ้าเช่นกัน ไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก”][a]

ความสว่างของโลก

12 พระเยซูจึงกล่าวกับเขาเหล่านั้นอีกว่า “เราคือความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ดำเนินชีวิตในความมืด และจะได้พบกับความสว่างของชีวิต” 13 พวกฟาริสีจึงพูดกับพระองค์ว่า “ท่านยืนยันเพื่อตัวท่านเอง เพราะฉะนั้นคำยืนยันของท่านย่อมไม่เป็นความจริง” 14 พระเยซูกล่าวตอบว่า “ถ้าแม้ว่าเราจะยืนยันเพื่อตัวเราเอง คำยืนยันของเราก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ใด แต่พวกท่านไม่รู้ว่าเรามาจากไหน หรือจะไปที่ใด 15 พวกท่านกล่าวโทษตามวิสัยโลก แต่เราไม่กล่าวโทษผู้ใด 16 ถ้าแม้ว่าเราจะกล่าวโทษ การกล่าวโทษของเราก็เป็นความจริงเพราะไม่ใช่เราคนเดียวที่กล่าวโทษ แต่เรากระทำร่วมกันกับพระองค์ผู้ส่งเรามา 17 แม้ว่าในกฎบัญญัติของท่านมีบันทึกไว้ว่า คำยืนยันจาก 2 คนจึงจะเป็นความจริง 18 เรายืนยันเพื่อตนเอง พระบิดาผู้ส่งเรามาก็ยืนยันเพื่อเราด้วย” 19 เขาเหล่านั้นจึงพูดกับพระองค์ว่า “พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน” พระเยซูตอบว่า “ท่านไม่รู้จักทั้งเราและพระบิดา เพราะถ้าท่านรู้จักเรา ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” 20 พระองค์กล่าวคำเหล่านี้ใกล้ๆ ตู้ถวายเงิน ขณะที่พระองค์สั่งสอนในพระวิหาร และไม่มีใครจับกุมพระองค์ เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์

21 ฉะนั้น พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นอีกว่า “เมื่อเราจากไป พวกท่านจะแสวงหาเรา ท่านจะตายด้วยบาปที่ติดตัวท่านอยู่ แล้วที่ซึ่งเราไป ท่านก็ไม่อาจไปถึงได้” 22 ชาวยิวจึงพูดว่า “เขาจะฆ่าตัวตายหรือ ในเมื่อเขาพูดว่า ‘ที่ซึ่งเราไป ท่านไม่อาจไปถึงได้’” 23 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “พวกท่านมาจากเบื้องล่าง เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นคนของโลกนี้ แต่เราไม่ได้เป็นคนของโลกนี้ 24 ฉะนั้นเราจึงพูดกับท่านว่า ท่านจะตายด้วยบาปทั้งหลายที่ติดตัวท่านอยู่ ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราคือผู้ที่เราอ้างว่าเราเป็น[b] ท่านก็จะตายเพราะบาปทั้งหลายของท่านเอง” 25 เขาเหล่านั้นจึงพูดกับพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร” พระเยซูกล่าวว่า “เราเป็นตามที่เราบอกท่านไว้ตั้งแต่แรก 26 เรามีหลายสิ่งที่จะพูดและกล่าวโทษท่าน แต่ผู้ที่ส่งเรามาเป็นผู้ที่วางใจได้ สิ่งที่เราได้ยินจากพระองค์ เราก็กล่าวแก่โลก” 27 เขาทั้งปวงไม่ทราบว่าพระองค์ได้พูดกับเขาถึงเรื่องพระบิดา 28 ดังนั้นพระเยซูกล่าวว่า “เมื่อพวกท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ท่านจะได้รู้ว่าเราคือผู้ที่เราอ้างว่าเราเป็น และเราไม่ทำสิ่งใดตามลำพังของเราเอง แต่เราพูดถึงสิ่งเหล่านี้ตามที่พระบิดาสอนเราไว้ 29 พระองค์ผู้ส่งเรามาดำรงอยู่กับเรา และไม่เคยทอดทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเรากระทำสิ่งซึ่งเป็นที่พอใจพระองค์เสมอ” 30 ขณะที่พระองค์กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ ก็มีคนจำนวนมากที่เชื่อในพระองค์

บุตรของอับราฮัม

31 พระเยซูกล่าวกับชาวยิวที่ได้เชื่อในพระองค์ว่า “ถ้าท่านดำรงอยู่ในคำกล่าวของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง 32 ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ” 33 เขาเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “พวกเราสืบตระกูลมาจากอับราฮัม[c] และยังไม่เคยเป็นทาสของใครเลย ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘ท่านจะเป็นอิสระ’”

34 พระเยซูตอบว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่กระทำบาปเป็นทาสของบาป 35 และทาสจะไม่ได้อยู่ในบ้านตลอดไป บุตรต่างหากที่สามารถอยู่ได้ตลอดกาล 36 ฉะนั้นถ้าพระบุตรจะทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง 37 เรารู้ว่าพวกท่านสืบตระกูลมาจากอับราฮัม แต่ท่านก็ยังพยายามจะฆ่าเรา เพราะไม่ยอมรับคำกล่าวของเรา 38 เราพูดถึงสิ่งที่เราได้เห็นจากพระบิดาของเรา ฉะนั้นท่านกระทำสิ่งที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย”

39 เขาเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “อับราฮัมเป็นบิดาของเรา” พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ถ้าพวกท่านเป็นบรรดาบุตรของอับราฮัม ก็จงทำในสิ่งที่อับราฮัมได้ทำมาแล้ว 40 แต่เท่าที่เป็นอยู่ ท่านพยายามฆ่าเรา ซึ่งเป็นผู้ที่ได้บอกท่านถึงความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้า อับราฮัมไม่ได้ทำอย่างนี้ 41 พวกท่านกำลังทำในสิ่งที่บิดาของท่านได้ทำมาแล้ว” พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า “เราไม่ได้เกิดจากการผิดประเวณี เรามีพระบิดาองค์เดียวคือพระเจ้า” 42 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของท่าน ท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า และอยู่ที่นี่แล้ว เราไม่ได้มาด้วยความตั้งใจของเราเอง แต่พระองค์ส่งเรามา 43 ทำไมท่านจึงไม่เข้าใจเรื่องที่เราพูด นั่นก็เป็นเพราะว่าท่านไม่ยอมรับฟังคำกล่าวของเรา 44 พวกท่านเป็นเช่นบิดาของท่านคือพญามาร ท่านจึงต้องการปฏิบัติตามความต้องการของบิดาของท่าน ซึ่งเป็นฆาตกรมาตั้งแต่ต้นและไม่ยืนอยู่ในความจริง เพราะว่าไม่มีความจริงอยู่ในตัวเอง เมื่อไรก็ตามที่บิดาของท่านพูดเท็จ ก็เพราะพูดจากนิสัยของตนเองคือขี้ปด และเป็นบิดาแห่งความเท็จทั้งปวง 45 เมื่อเราพูดความจริง ท่านกลับไม่เชื่อเรา 46 มีใครบ้างในพวกท่านที่พิสูจน์ให้เห็นได้ว่าเราทำบาป เมื่อเราพูดความจริง แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา 47 คนของพระเจ้าย่อมฟังคำกล่าวของพระเจ้า พวกท่านไม่ใช่คนของพระเจ้าจึงไม่ได้ยินคำกล่าวนั้น”

48 ชาวยิวตอบพระองค์ว่า “พวกเราพูดผิดหรือที่ว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีมารสิงอยู่” 49 พระเยซูตอบว่า “เราไม่มีมารสิง เราให้เกียรติพระบิดาของเรา แต่ท่านหลู่เกียรติของเรา 50 เราไม่แสวงหาบารมีของเรา แต่มีพระองค์ผู้เดียวที่เป็นผู้แสวงหาให้และเป็นผู้พิพากษา 51 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าผู้ใดรักษาคำกล่าวของเราไว้ ผู้นั้นจะไม่มีวันประสบความตายเลย” 52 ชาวยิวพูดกับพระองค์ว่า “บัดนี้พวกเราทราบว่าท่านมีมารสิงอยู่ อับราฮัมตายไปแล้ว และผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็เช่นกัน ท่านยังจะพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดรักษาคำกล่าวของเรา ผู้นั้นจะไม่มีวันลิ้มรสความตายเลย’ 53 ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราที่ได้ตายไปแล้วหรือ บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าล้วนตายไปหมดแล้ว ท่านคิดว่าท่านเป็นใคร” 54 พระเยซูตอบว่า “ถ้าเราให้บารมีแก่ตนเอง บารมีของเราก็ไม่มีความหมาย แต่พระบิดาของเราซึ่งพวกท่านบอกว่าเป็นพระเจ้าของท่าน เป็นผู้ให้บารมีแก่เรา 55 พวกท่านกลับไม่รู้จักพระองค์เลย ในขณะที่เรารู้จักพระองค์ หากเราพูดว่าไม่รู้จักพระองค์ เราก็จะเป็นคนพูดเท็จเหมือนกับท่าน เรารู้จักพระองค์และรักษาคำกล่าวของพระองค์ 56 อับราฮัมบิดาของท่านชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา ซึ่งอับราฮัมก็ได้เห็นแล้วและได้ชื่นชมยินดี” 57 ชาวยิวจึงพูดกับพระองค์ต่อไปว่า “ท่านอายุยังไม่ถึง 50 ปี ได้เคยเห็นอับราฮัมแล้วหรือ” 58 พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนที่อับราฮัมจะเกิด เราดำรงอยู่ก่อนแล้ว”[d] 59 เขาเหล่านั้นจึงได้หยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูหลบพ้นและออกจากพระวิหารไป

Footnotes

  1. 7:53-8:11 […] สำเนาโบราณบางฉบับมีข้อความตอนนี้รวมอยู่ด้วย
  2. 8:24 ผู้ที่เราอ้างว่าเราเป็น ในข้อ 24,28 เป็นความหมายจากคำศัพท์ภาษากรีกและฮีบรูคือ “เราเป็น” ฉบับอพยพ 3:14,15
  3. 8:33 อับราฮัม เป็นบิดาต้นตระกูลของชนชาติยิว
  4. 8:58 เราดำรงอยู่ก่อนแล้ว เป็นความหมายจากคำศัพท์ภาษากรีกและฮีบรูคือ “เราเป็น” ฉบับอพยพ 3:14,15