และพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าบางคนซึ่งยืนอยู่ที่นี่ยังไม่ทันจะได้ลิ้มรสความตายก็ได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงพร้อมด้วยฤทธิ์อำนาจแล้ว”

ทรงจำแลงพระกาย(A)

หกวันต่อมาพระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูงตามลำพัง พระวรกายก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขาที่นั่น ฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จะหาใครในโลกฟอกให้ขาวปานนั้นไม่มีเลย และโมเสสกับเอลียาห์ก็ปรากฏกายต่อหน้าพวกเขาและสนทนากับพระเยซู

เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงที่พวกข้าพระองค์ได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราสร้างเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์อีกหลังหนึ่ง” (เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเพราะพวกเขาตกใจกลัวมาก)

แล้วก็มีเมฆปรากฏขึ้นปกคลุมพวกเขาและมีพระสุรเสียงจากเมฆว่า “คนนี้คือลูกที่รักของเรา จงเชื่อฟังเขาเถิด!”

ทันใดนั้นพวกเขามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นใครอื่นนอกจากพระเยซู

ขณะลงจากภูเขาพระเยซูทรงกำชับพวกเขาไม่ให้เล่าเหตุการณ์ที่ได้เห็นให้ใครฟังจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นจากตายแล้ว 10 ทั้งสามเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวโดยหารือกันถึงความหมายของคำว่า “เป็นขึ้นจากตาย”

11 และพวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกธรรมาจารย์จึงบอกว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน?”

12 พระเยซูทรงตอบว่า “ถูกแล้ว เอลียาห์มาก่อนจริงๆ และทำให้ทุกอย่างคืนสู่สภาพเดิม แล้วเหตุใดจึงมีเขียนไว้ว่าบุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์แสนสาหัสและถูกปฏิเสธ? 13 แต่เราบอกพวกท่านว่าเอลียาห์มาแล้วและคนเหล่านั้นทำกับเขาตามใจชอบทุกอย่างเหมือนที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับเขา”

ทรงรักษาเด็กผู้ชายที่ถูกวิญญาณชั่วสิง(B)

14 เมื่อพระเยซูกับสาวกทั้งสามคนมาหาสาวกคนอื่นๆ ก็เห็นฝูงชนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมคนเหล่านั้นอยู่และกลุ่มธรรมาจารย์กำลังถกเถียงกับเหล่าสาวก 15 ทันทีที่ประชาชนทั้งปวงเห็นพระเยซู พวกเขาก็แปลกใจยิ่งนักและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์

16 พระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านกำลังถกเถียงเรื่องอะไรกันหรือ?”

17 คนหนึ่งในฝูงชนทูลว่า “พระอาจารย์ข้าพระองค์พาลูกชายมาหาพระองค์ เขาถูกผีสิงทำให้เป็นใบ้ 18 เวลาผีเข้าสิงมันก็ทำให้ล้มลงที่พื้น น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแน่น ตัวแข็ง ข้าพระองค์ขอให้สาวกของพระองค์ขับผีนี้ออกแต่พวกเขาก็ทำไม่ได้”

19 พระเยซูตรัสตอบว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะอยู่กับพวกท่านนานเท่าใด? เราจะทนพวกท่านนานเท่าใด? จงพาเด็กนั้นมาหาเรา”

20 พวกเขาจึงพามา เมื่อผีที่สิงอยู่เห็นพระเยซู ทันใดนั้นมันก็ทำให้เด็กชัก ล้มลงกลิ้งไปมาที่พื้น น้ำลายฟูมปาก

21 พระเยซูตรัสถามพ่อของเด็กว่า “เขาเป็นอย่างนี้มานานเท่าใด?”

เขาทูลว่า “ตั้งแต่เด็ก 22 มันทำให้เขาตกน้ำตกไฟบ่อยๆ เพื่อฆ่าเขา แต่ถ้าพระองค์ทรงช่วยได้ขอโปรดสงสารเราและช่วยเราด้วยเถิด”

23 พระเยซูตรัสว่า “ ‘ถ้าช่วยได้’ น่ะหรือ? ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ”

24 พ่อของเด็กร้องทูลทันทีว่า “ข้าพระองค์เชื่อ ที่ยังขาดความเชื่ออยู่นั้นขอทรงช่วยให้เชื่อด้วยเถิด!”

25 พระเยซูทรงเห็นฝูงชนกรูกันเข้ามาจึงตรัสสำทับวิญญาณชั่ว[a]ว่า “เจ้าผีใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกมาจากเขาและอย่ากลับเข้าไปสิงเขาอีก”

26 ผีนั้นก็หวีดร้องทำให้เด็กชักดิ้นอย่างรุนแรงแล้วออกมา เด็กนั้นแน่นิ่งเหมือนคนตายจนหลายคนพูดว่า “เขาตายแล้ว” 27 แต่พระเยซูทรงจับมือของเขาและพยุงขึ้น เขาก็ลุกขึ้นยืน

28 หลังจากพระเยซูทรงเข้าไปในบ้าน เหล่าสาวกมาเข้าเฝ้าพระองค์เป็นการส่วนตัวและทูลถามว่า “เหตุใดพวกข้าพระองค์จึงไม่สามารถขับผีนั้นได้?”

29 พระองค์ตรัสว่า “ผีแบบนี้จะขับออกได้ก็โดยการอธิษฐานเท่านั้น[b]

30 พระเยซูกับสาวกออกจากที่นั่นผ่านไปทางแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครรู้ว่าทรงอยู่ที่ไหน 31 เพราะทรงสั่งสอนพวกสาวกอยู่ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “บุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือมนุษย์ พวกเขาจะฆ่าพระองค์ และหลังจากนั้นสามวันพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย” 32 แต่เหล่าสาวกไม่เข้าใจว่าทรงหมายความว่าอย่างไรและไม่กล้าทูลถามพระองค์

ผู้ใดเป็นใหญ่ที่สุด(C)

33 เมื่อพวกเขามาถึงเมืองคาเปอรนาอุม ขณะพระองค์อยู่ในบ้านพระองค์ทรงถามพวกเขาว่า “ระหว่างทางพวกท่านถกเถียงกันเรื่องอะไร?” 34 แต่พวกเขานิ่งอยู่เพราะระหว่างทางพวกเขาเถียงกันเรื่องใครเป็นใหญ่ที่สุด

35 พระเยซูประทับนั่งแล้วทรงเรียกสาวกทั้งสิบสองคนมาและตรัสว่า “หากผู้ใดอยากเป็นที่หนึ่งเขาต้องเป็นคนสุดท้ายและเป็นคนรับใช้ของคนทั้งปวง”

36 พระองค์ทรงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขา ทรงอุ้มเด็กนั้นไว้แล้วตรัสกับพวกเขาว่า 37 “ผู้ใดต้อนรับเด็กน้อยเช่นนี้ในนามของเราก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเราก็ไม่ได้ต้อนรับเราเท่านั้นแต่ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาด้วย”

ผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านเราก็อยู่ฝ่ายเรา(D)

38 ยอห์นทูลว่า “พระอาจารย์ พวกข้าพระองค์เห็นชายคนหนึ่งขับผีออกในพระนามของพระองค์ พวกข้าพระองค์จึงห้ามเขาเพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มของเรา”

39 พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามเขาเลย ไม่มีใครหรอกที่ทำการอัศจรรย์ในนามของเราแล้วครู่ต่อมาก็พูดไม่ดีเกี่ยวกับเรา 40 เพราะผู้ใดไม่ได้ต่อต้านเราก็อยู่ฝ่ายเรา 41 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดเอาน้ำเย็นถ้วยหนึ่งให้ท่านในนามของเราเนื่องจากท่านเป็นคนของพระคริสต์ ผู้นั้นจะไม่ขาดบำเหน็จอย่างแน่นอน”

ต้นเหตุให้ทำบาป

42 “และหากผู้ใดเป็นเหตุให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้ที่เชื่อในเราสักคนหนึ่งทำบาป ให้เอาหินโม่ผูกคอผู้นั้นแล้วโยนเขาลงทะเลก็ยังจะดีกว่า 43 หากมือของท่านเป็นเหตุให้ทำบาปจงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตทั้งๆ ที่มือด้วนก็ยังดีกว่ามีสองมือครบแต่ต้องตกนรกซึ่งมีไฟไม่รู้ดับ[c] 45 และหากเท้าของท่านเป็นเหตุให้ทำบาปจงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตทั้งๆ ที่ขาพิการยังดีกว่ามีสองเท้าครบแต่ต้องถูกโยนลงนรก[d] 47 และหากตาของท่านเป็นเหตุให้ทำบาปจงควักทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าโดยมีตาข้างเดียวก็ยังดีกว่ามีสองตาแต่ต้องถูกโยนลงนรก 48 ที่ซึ่ง

“ ‘หนอนของคนเหล่านั้นไม่มีวันตาย
และไฟก็ไม่รู้ดับ’[e]

49 ทุกคนจะถูกเคล้าเกลือชำระด้วยไฟ

50 “เกลือเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามันหมดความเค็มแล้วจะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร? ท่านจงมีเกลืออยู่ในตัวและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข”

Footnotes

  1. 9:25 ภาษากรีกว่าโสโครก
  2. 9:29 สำเนาต้นฉบับบางสำเนาว่าอธิษฐานและอดอาหารเท่านั้น
  3. 9:43 สำเนาต้นฉบับบางสำเนามีข้อ 44 ว่าที่ซึ่ง / “ ‘หนอนของคนเหล่านั้นไม่มีวันตาย / และไฟก็ไม่รู้ดับ’
  4. 9:45 สำเนาต้นฉบับบางสำเนามีข้อ 46 ว่าที่ซึ่ง / “ ‘หนอนของคนเหล่านั้นไม่มีวันตาย / และไฟก็ไม่รู้ดับ’
  5. 9:48 อสย.66:24

พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า บางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่รู้รสความตายก่อนที่จะเห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาด้วยฤทธานุภาพ”

พระเยซู โมเสส และเอลียาห์

หกวันต่อมา พระเยซูพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปยังภูเขาสูงกับพระองค์แต่เพียงลำพัง และร่างกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา เสื้อผ้าของพระองค์ก็ทอแสงสกาว ขาวบริสุทธิ์ชนิดที่ไม่มีช่างฟอกคนใดในโลกสามารถฟอกให้ขาวได้ แล้วเอลียาห์และโมเสสได้ปรากฏแก่พวกเขา ทั้ง 2 ท่านกำลังสนทนาอยู่กับพระเยซู เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “รับบี[a]ดีเหลือเกินที่พวกเราได้มาอยู่กันที่นี่ ให้พวกเราสร้างกระโจม 3 หลังเถิด กระโจมหนึ่งสำหรับพระองค์ กระโจมหนึ่งสำหรับโมเสสและกระโจมหนึ่งสำหรับเอลียาห์” เปโตรไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไรเนื่องจากพวกเขาตกใจกลัวกัน เมฆก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นปกคลุมผู้คน และมีเสียงจากเมฆกล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” แล้วพวกสาวกแลดูรอบตัวทันที ก็ไม่เห็นใครอยู่ด้วยเลย เว้นแต่พระเยซูเท่านั้น

ขณะที่ลงมาจากภูเขา พระองค์สั่งพวกเขาไม่ให้เล่าสิ่งที่ได้เห็นแก่ผู้ใด จนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 10 พวกสาวกเก็บเรื่องนั้นเงียบไว้ ต่างก็ถกเถียงกันว่า การฟื้นคืนชีวิตจากความตายหมายความว่าอย่างไร

11 พวกเขาจึงถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติจึงพูดกันว่า เอลียาห์ต้องมาก่อน” 12 พระองค์กล่าวว่า “จริงทีเดียวที่เอลียาห์มาก่อน และจะทำให้ทุกสิ่งคืนสู่สภาพเดิม แล้วทำไมจึงมีบันทึกไว้ว่าบุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานมากและผู้คนไม่ยอมรับ 13 แต่เราขอบอกเจ้าว่า เอลียาห์ได้มาแล้ว พวกเขาได้กระทำต่อเขาตามใจชอบ ตามที่มีเรื่องบันทึกของเขาไว้”

พระเยซูขับไล่วิญญาณร้ายออกจากตัวเด็ก

14 เมื่อพระเยซูและสาวกทั้งสามกลับมาหาสาวกอื่น ก็เห็นว่ามหาชนอยู่ล้อมรอบเหล่าสาวก อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนก็กำลังโต้เถียงอยู่กับพวกเขา 15 ทันทีที่ฝูงชนทั้งกลุ่มเห็นพระองค์ ก็ประหลาดใจยิ่งนักและวิ่งกรูกันเข้ามาทักทายพระองค์ 16 พระองค์ถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าถกเถียงอะไรกันกับเขาเหล่านั้น” 17 คนหนึ่งในกลุ่มตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้าพาบุตรชายของข้าพเจ้ามา เขาถูกวิญญาณร้ายสิงจึงทำให้เขาเป็นใบ้ 18 เมื่อใดก็ตามที่มันเข้าสิงเขา มันก็ทำให้เขาล้มลงฟาดพื้น มีน้ำลายฟูมปาก ฟันขบกัน และตัวแข็งเกร็ง ข้าพเจ้าให้เหล่าสาวกของพระองค์ขับไล่มันออก พวกเขาก็ทำไม่ได้” 19 พระองค์กล่าวตอบว่า “คนในช่วงกาลเวลานี้ช่างไร้ความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกเจ้านานสักเท่าไร เราจะต้องทนต่อพวกเจ้าไปนานสักเท่าไร พาตัวเขามาหาเราเถิด” 20 พวกเขาก็นำเด็กคนนั้นมาหาพระเยซู ทันทีที่เขาเห็นพระองค์ วิญญาณร้ายก็ทำให้เขาชัก ล้มลงบนพื้นแล้วก็กลิ้งไปมาน้ำลายฟูมปาก 21 พระองค์ถามบิดาของเด็กว่า “เป็นมานานเท่าไรแล้ว” เขาตอบว่า “ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ แล้ว 22 มารทำให้เขาตกลงในกองไฟ และตกน้ำบ่อยครั้งเพื่อทำลายเขา แต่ถ้าพระองค์ช่วยได้ ก็โปรดสงสารช่วยพวกเราด้วย” 23 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “‘ถ้าพระองค์ช่วยได้’ อย่างนั้นหรือ ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ” 24 ในทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องขึ้นว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดช่วยเพิ่มความเชื่อของข้าพเจ้าด้วย” 25 เมื่อพระเยซูเห็นว่าฝูงชนวิ่งกันเข้ามา พระองค์กล่าวห้ามวิญญาณร้ายว่า “เจ้าวิญญาณหนวกใบ้ เราสั่งให้เจ้าออกมาจากตัวเขา และอย่าเข้าสิงเขาอีก” 26 หลังจากวิญญาณร้ายร้องและทำให้เขาชักก่อนที่มันจะออกมา เด็กก็แน่นิ่งไปเหมือนไร้ชีวิตจนคนส่วนใหญ่พูดกันว่า “เขาตายแล้ว” 27 แต่พระเยซูจับมือเขาพยุงขึ้น แล้วเขาก็ลุกขึ้น 28 เมื่อพระองค์มาถึงบ้านแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์ก็เริ่มซักถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ทำไมพวกเราจึงขับมันออกมาไม่ได้” 29 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “วิญญาณร้ายประเภทนี้จะถูกขับออกมาด้วยสิ่งใดไม่ได้ จนกว่าจะมีการอธิษฐานเท่านั้น”[b]

30 หลังจากนั้นพระเยซูและเหล่าสาวกก็เดินทางกันไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ได้ตั้งใจให้ใครทราบ 31 พระองค์กำลังสั่งสอนเหล่าสาวกและบอกว่า “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของมนุษย์และพวกเขาจะฆ่าท่านเสีย เมื่อท่านถูกฆ่าแล้ว 3 วันต่อมาท่านจะฟื้นคืนชีวิตอีก” 32 แต่พวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์กล่าว แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามพระองค์

ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด

33 พระเยซูกับเหล่าสาวกมายังเมืองคาเปอร์นาอุม เมื่อพระองค์อยู่ในบ้านก็ได้เริ่มซักถามพวกเขาว่า “ระหว่างทางมานั้นพวกเจ้าถกเถียงอะไรกัน” 34 แต่พวกเขานิ่งเงียบกัน เพราะระหว่างทางมานั้นได้ถกเถียงกันว่า คนไหนในพวกเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด 35 พระองค์นั่งลงแล้วก็เรียกสาวกทั้งสิบสองมากล่าวให้ฟังว่า “ถ้าใครต้องการจะเป็นคนแรกสุด เขาต้องเป็นคนท้ายสุด และเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง”

36 พระองค์เอาเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนต่อหน้าพวกเขาและโอบตัวเด็กไว้ กล่าวว่า 37 “ใครก็ตามที่รับเด็กเล็กๆ เช่นนี้คนหนึ่งในนามของเราก็ถือได้ว่า รับเราด้วย และใครก็ตามที่รับเราก็ไม่ได้รับเรา แต่รับพระองค์ผู้ส่งเรามา”

ผู้ขับไล่พวกมารในพระนามของพระเยซู

38 ยอห์นพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ พวกเราเห็นชายคนหนึ่งขับไล่พวกมารในพระนามของพระองค์ และพวกเราพยายามที่จะห้ามเขา เพราะว่าเขาไม่ใช่คนของเรา” 39 แต่พระเยซูกล่าวว่า “อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าไม่มีใครที่จะแสดงสิ่งอัศจรรย์ในนามของเรา และทันทีหลังจากนั้นจะพูดว่าร้ายเราได้ 40 เพราะว่าคนที่ไม่เป็นฝ่ายค้านพวกเราก็เป็นฝ่ายเรา 41 ใครก็ตามที่ให้น้ำเจ้าดื่มถ้วยหนึ่ง เพราะเจ้าเป็นผู้ติดตามของพระคริสต์ เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ผู้นั้นจะไม่สูญเสียรางวัลของเขา

เตือนไม่ให้ทำบาป

42 แต่หากเขาเป็นต้นเหตุให้คนหนึ่งในบรรดาเด็กเล็กๆ เหล่านี้ที่มีความเชื่อในเราพลั้งพลาดไป[c] ให้ถ่วงคอเขาด้วยหินโม่แป้งก้อนใหญ่ และโยนลงทะเลจะดีกว่า 43 และถ้ามือของเจ้าเป็นเหตุให้เจ้ากระทำบาป ก็จงตัดทิ้งเสีย เจ้าจะมีชีวิตตลอดไปเยี่ยงคนพิการก็ยังดีกว่ามีมือทั้งสอง แต่ต้องลงนรกในไฟที่ไม่รู้ดับ [44 ในที่ซึ่ง ‘ตัวหนอนของพวกเขาก็ไม่ตายและไฟก็ไม่มีวันดับ’][d] 45 และถ้าเท้าของเจ้าเป็นเหตุให้เจ้ากระทำบาป ก็จงตัดทิ้งเสีย เจ้าจะมีชีวิตตลอดไปเยี่ยงคนง่อยเปลี้ยก็ยังจะดีกว่ามีเท้าทั้ง 2 ข้าง แต่ก็ถูกโยนลงนรก [46 ในที่ซึ่ง ‘ตัวหนอนของพวกเขาก็ไม่ตาย และไฟก็ไม่มีวันดับ’][e] 47 และถ้าตาของเจ้าเป็นเหตุให้เจ้าทำบาป ก็จงควักทิ้งเสีย เจ้าจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวก็ยังดีกว่ามีตาทั้ง 2 ข้างแต่ก็ถูกโยนลงนรก 48 ในที่ซึ่ง

‘ตัวหนอนของพวกเขาก็ไม่ตาย
    และไฟก็ไม่มีวันดับ’[f]

49 เพราะทุกคนจะถูกชำระด้วยไฟเสมือนการชำระด้วยเกลือ

50 เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าสิ้นความเค็มแล้วจะกลับเค็มอีกได้อย่างไร พวกเจ้าจงมีเกลือในตัว และมีความสงบสุขต่อกันและกันเถิด”

Footnotes

  1. 9:5 รับบี เป็นภาษาฮีบรู แปลได้ความว่า อาจารย์
  2. 9:29 มีหนังสือฉบับแรกๆ บางฉบับที่บันทึกไว้ครั้งโบราณเพิ่มคำว่า “และอดอาหาร” ด้วย
  3. 9:42 พลั้งพลาด หรือล้มเลิกความเชื่อ หรือทำบาป
  4. 9:44 […] สำเนาโบราณบางฉบับมีข้อความตอนนี้รวมอยู่ด้วย
  5. 9:46 […] สำเนาโบราณบางฉบับมีข้อความตอนนี้รวมอยู่ด้วย
  6. 9:48 อิสยาห์ 66:24