สิ่งที่เป็นมลทิน(A)

ฝ่ายพวกฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาห้อมล้อมพระเยซู และเห็นสาวกบางคนของพระองค์รับประทานอาหารโดยไม่ได้ล้างมือซึ่งถือว่า “เป็นมลทิน” (พวกฟาริสีและชาวยิวทั้งปวงถือตามประเพณีที่สืบทอดจากบรรพบุรุษว่าจะไม่รับประทานอาหารจนกว่าจะได้ล้างมือตามระเบียบพิธีก่อน เมื่อกลับจากตลาดต้องล้างมือก่อนจะรับประทานอาหาร และยังมีธรรมเนียมอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่นการล้างถ้วย เหยือก และภาชนะต่างๆ[a])

ฉะนั้นพวกฟาริสีและธรรมาจารย์จึงทูลถามพระเยซูว่า “เหตุใดสาวกของท่านจึงไม่ทำตามธรรมเนียมของผู้อาวุโส แต่กลับรับประทานอาหารด้วยมือที่ ‘เป็นมลทิน’?”

พระองค์ตรัสตอบว่า “อิสยาห์พูดถูกแล้วเมื่อเผยพระวจนะเกี่ยวกับคนหน้าซื่อใจคดอย่างพวกเจ้าดังที่มีคำเขียนไว้ว่า

“ ‘ประชากรเหล่านี้ยกย่องเราแต่ปาก
แต่ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา
พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์
คำสอนของเขาเป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สอนกันมา’[b]

พวกท่านละเลยพระบัญชาของพระเจ้าและไปยึดถือธรรมเนียมของมนุษย์”

และพระองค์ตรัสว่า “พวกท่านมีวิธีเลี่ยงพระบัญชาของพระเจ้าไปทำตาม[c]ธรรมเนียมของตนได้ดีจริงนะ! 10 เพราะโมเสสกล่าวว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’[d] และ ‘ผู้ใดแช่งด่าบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย’[e] 11 แต่พวกท่านบอกว่าหากใครพูดกับบิดามารดาว่า ‘สิ่งใดๆ จากข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่านก็คือโกระบาน’ (คือของที่ได้ถวายแด่พระเจ้าแล้ว) 12 แล้วท่านจึงไม่ให้เขาทำสิ่งใดให้บิดามารดาอีกต่อไป 13 ด้วยเหตุนี้ท่านจึงทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะไปโดยการยึดธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาและพวกท่านยังทำอีกหลายอย่างในทำนองนี้”

14 แล้วพระเยซูทรงเรียกฝูงชนเข้ามาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่งและตรัสว่า “ทุกคนจงฟังและเข้าใจข้อนี้ 15 ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในมนุษย์แล้วทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’ แต่สิ่งที่ออกจากตัวเขาต่างหากที่ทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’[f]

17 เมื่อละจากฝูงชนเข้ามาในบ้านแล้ว เหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์เกี่ยวกับคำอุปมานี้ 18 พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ท่านไม่เห็นหรือว่าไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในตัวคนแล้วทำให้คน ‘เป็นมลทิน’ ได้? 19 เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วออกจากร่างกาย” (ที่พระเยซูตรัสเช่นนี้เป็นการประกาศว่าอาหารทั้งปวง “ปราศจากมลทิน”)

20 พระองค์ตรัสต่อไปว่า “สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์ต่างหากที่ทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’ 21 เพราะที่ออกมาจากภายในจากใจคนเราคือ ความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การเข่นฆ่า การล่วงประเวณี 22 ความโลภ การมุ่งร้าย การฉ้อฉล ราคะตัณหา ความอิจฉา การนินทาว่าร้าย ความหยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา 23 สารพัดความชั่วนี้มาจากภายในและทำให้มนุษย์ ‘เป็นมลทิน’ ”

ความเชื่อของหญิงชาวซีเรียฟีนิเซีย(B)

24 จากที่นั่นพระเยซูเสด็จเข้าสู่เขตเมืองไทระ[g] ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งและไม่ประสงค์ให้ใครรู้แต่ก็ปิดไว้ไม่อยู่ 25 หญิงคนหนึ่งซึ่งลูกสาวเล็กๆ ของนางมีวิญญาณชั่ว[h]สิง เมื่อได้ทราบข่าวเกี่ยวกับพระองค์ก็มาหมอบกราบแทบพระบาทของพระองค์ 26 หญิงผู้นี้เป็นชาวกรีกเกิดในซีเรียฟีนิเซีย นางมาทูลอ้อนวอนพระเยซูให้ทรงช่วยขับผีออกจากลูกสาวของนาง

27 พระองค์ตรัสบอกนางว่า “ต้องให้ลูกๆ กินอิ่มก่อน เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัข”

28 หญิงนั้นทูลว่า “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขใต้โต๊ะยังได้กินเศษอาหารที่เหลือจากลูก”

29 แล้วพระองค์จึงตรัสบอกนางว่า “ไปเถิด เพราะคำตอบของเจ้า ผีนั้นออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว”

30 หญิงนั้นก็กลับไปบ้านและพบว่าลูกสาวนอนอยู่บนเตียงและผีนั้นได้ออกไปแล้ว

ทรงรักษาคนหูหนวกและเป็นใบ้(C)

31 แล้วพระเยซูเสด็จจากเขตเมืองไทระผ่านเมืองไซดอนไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลีเข้าสู่แคว้นเดคาโปลิส[i] 32 ที่นั่นมีคนพาชายผู้หนึ่งซึ่งหูหนวกพูดเกือบไม่ได้เลย มาทูลอ้อนวอนให้ทรงวางมือบนชายผู้นั้น

33 พระเยซูทรงพาเขาเลี่ยงออกไปจากฝูงชน เอานิ้วพระหัตถ์สอดเข้าไปในหูของชายผู้นั้น แล้วทรงบ้วนน้ำลายเอาไปแตะที่ลิ้นของเขา 34 พระองค์ทรงเงยพระพักตร์มองฟ้าสวรรค์ ถอนพระทัยยาว และตรัสกับเขาว่า “เอฟฟาธา!” (ซึ่งแปลว่า “จงเปิดออก!”) 35 แล้วหูของชายคนนั้นก็หายหนวก ลิ้นของเขาก็หายขัด เขาเริ่มพูดได้ชัดเจน

36 พระเยซูทรงกำชับพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องนี้แก่ใคร แต่ยิ่งพระองค์ทรงห้ามพวกเขาก็ยิ่งเล่าลือเรื่องนี้ไปทั่ว 37 ประชาชนประหลาดใจยิ่งนักและพูดว่า “พระองค์ทรงกระทำแต่สิ่งดีๆ ทั้งนั้น พระองค์ถึงกับทรงกระทำให้คนหูหนวกได้ยินและคนใบ้พูดได้”

Footnotes

  1. 7:4 สำเนาต้นฉบับเก่าแก่บางสำเนาว่าภาชนะต่างๆและที่เอนกายรับประทานอาหาร
  2. 7:7 อสย.29:13
  3. 7:9 สำเนาต้นฉบับบางสำเนาว่าตั้ง
  4. 7:10 อพย.20:12ฉธบ.5:16
  5. 7:10 อพย.21:17ลนต.20:9
  6. 7:15 สำเนาต้นฉบับเก่าแก่บางสำเนาว่า‘เป็นมลทิน’ 16 ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด
  7. 7:24 สำเนาต้นฉบับเก่าแก่หลายสำเนาว่าเมืองไทระและเมืองไซดอน
  8. 7:25 ภาษากรีกว่าโสโครก
  9. 7:31 คือทศบุรี

กฎบัญญัติและประเพณีนิยม

พวกฟาริสีและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนได้มาจากเมืองเยรูซาเล็มพากันมาห้อมล้อมพระเยซู พวกเขาเห็นว่าสาวกบางคนของพระองค์ใช้มือที่เป็นมลทินรับประทานอาหาร คือไม่ได้ล้างมือก่อน ด้วยเหตุว่าพวกฟาริสีและชาวยิวทั้งหลายไม่รับประทานอาหาร นอกจากว่าจะล้างมืออย่างระมัดระวังเสียก่อน ทั้งนี้เป็นการทำตามประเพณีนิยมของบรรพบุรุษ พวกเขาจะไม่รับประทานสิ่งที่มาจากย่านตลาด นอกจากว่าเขาจะล้างให้สะอาดก่อน และมีอีกหลายสิ่งที่พวกเขาถือปฏิบัติกันมา เช่น การล้างถ้วย โถน้ำ และหม้อทองแดง พวกฟาริสีและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติถามพระองค์ว่า “ทำไมเหล่าสาวกของท่านไม่กระทำตามประเพณีนิยมของบรรพบุรุษ แต่รับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทิน” พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “อิสยาห์ได้เผยคำกล่าวของพระเจ้าถึงพวกท่านว่า ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ก็ถูกต้องแล้วตามที่มีบันทึกไว้ว่า

‘คนเหล่านี้ให้เกียรติเราเพียงแค่ปาก
    แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา
พวกเขากราบนมัสการเราโดยไร้ประโยชน์
    เขาสอนกฎเกณฑ์ของมนุษย์
    เสมือนว่าเป็นคำสั่งสอนของพระเจ้า’[a]

พวกท่านละเลยพระบัญญัติของพระเจ้า และถือตามประเพณีนิยมของมนุษย์”

พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นด้วยว่า “พวกท่านละเลยพระบัญญัติของพระเจ้าได้ด้วยความชำนาญ เพื่อรักษาประเพณีนิยมของพวกท่านเอง 10 โมเสสได้กล่าวไว้ว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’[b] และ ‘คนที่พูดว่าร้ายบิดาหรือมารดา ก็ให้เขาได้รับโทษถึงตาย’[c] 11 แต่พวกท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดพูดกับบิดาหรือมารดาของเขาว่า “สิ่งใดที่เป็นของเราที่จะช่วยเหลือท่านได้นั้น เป็นโกระบาน”’ (ซึ่งหมายถึงของที่ได้มอบให้แด่พระเจ้าแล้ว) 12 พวกท่านก็ไม่อนุญาตให้ผู้นั้นช่วยบิดามารดาเลย 13 จึงเป็นการยกเลิกคำกล่าวของพระเจ้า ด้วยประเพณีนิยมของพวกท่านซึ่งถ่ายทอดต่อกันไป และก็กระทำหลายสิ่งในทำนองนั้นด้วย”

14 หลังจากที่พระเยซูได้เรียกฝูงชนมาหาพระองค์อีก พระองค์ก็เริ่มกล่าวกับพวกเขาว่า “ทุกคนในพวกท่านจงฟังเรา และจงเข้าใจว่า 15 ไม่มีสิ่งใดที่อยู่นอกกายจะเข้าไปภายในกาย แล้วก็ทำให้เขามีมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากคนนั่นแหละเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นมลทิน [16 ถ้าผู้ใดมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด]”[d]

17 เมื่อพระองค์จากฝูงชนไปแล้วจึงเข้าไปในบ้าน พวกสาวกของพระองค์จึงถามเรื่องคำอุปมานั้น 18 พระองค์กล่าวว่า “พวกเจ้าไม่เข้าใจด้วยหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่า สิ่งใดๆ ที่มาจากภายนอกกายเข้าไปอยู่ในตัวคน ไม่สามารถทำให้เขาเป็นมลทิน 19 เพราะว่ามันไม่สามารถเข้าไปภายในจิตใจของเขาได้ แต่ผ่านเข้าไปในท้อง แล้วก็ออกนอกกายไป” (ฉะนั้นพระองค์ประกาศว่าอาหารทุกอย่างไม่มีมลทิน) 20 และพระองค์กล่าวว่า “สิ่งที่ออกจากคนจึงทำให้คนเป็นมลทิน 21 เพราะว่าออกจากภายในก็คือออกจากใจคน มีความคิดชั่วร้าย การประพฤติผิดทางเพศ การลักขโมย การฆ่าคน การผิดประเวณี 22 การแสดงออกถึงความโลภและการปองร้าย รวมทั้งการหลอกลวง ความมักมากในกาม การอิจฉา การใส่ร้าย ความหยิ่งยโส และความเขลา 23 สิ่งชั่วร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นจากภายในและทำให้คนเป็นมลทิน”

ความเชื่อของหญิงชาวซีเรียฟีนิเซีย

24 พระองค์ลุกขึ้นจากที่นั่นแล้วก็ไปยังแขวงเมืองไทระ เมื่อได้เข้าไปในบ้านแห่งหนึ่ง พระองค์ไม่ต้องการให้ใครทราบ แต่ก็ไม่อาจพ้นสายตาของผู้คน 25 หญิงคนหนึ่งมีบุตรสาวที่วิญญาณร้ายสิงอยู่ ทันทีที่นางได้ยินข่าวถึงเรื่องของพระองค์ นางก็มาก้มลงที่แทบเท้าของพระองค์ 26 หญิงคนนี้เป็นชาวกรีก มีเชื้อชาติซีเรียฟีนิเซีย นางอ้อนวอนให้พระองค์ขับไล่มารออกจากบุตรสาวของนาง 27 พระองค์กล่าวกับนางว่า “ให้พวกเด็กได้รับจนพอใจก่อน เพราะการเอาอาหารของเด็กๆ โยนให้พวกสุนัขนั้นไม่ถูกต้อง” 28 แต่นางตอบพระองค์ว่า “ใช่แล้ว พระองค์ท่าน แม้แต่พวกสุนัขใต้โต๊ะก็ยังกินเศษอาหารของเด็กๆ” 29 แล้วพระองค์กล่าวกับนางว่า “เป็นเพราะคำตอบเช่นนี้ เจ้าจงไปเถิด มารได้ออกไปจากตัวบุตรสาวของเจ้าแล้ว” 30 นางกลับบ้านไปก็พบว่าเด็กนั้นนอนอยู่ที่เตียง มารก็ออกจากตัวไปแล้ว

พระเยซูรักษาชายหูหนวก

31 พระเยซูเดินทางออกจากแขวงเมืองไทระ ผ่านเมืองไซดอนไปยังทะเลสาบกาลิลี ในละแวกแคว้นทศบุรี 32 มีคนพาชายคนหนึ่งซึ่งหูหนวกและพูดตะกุกตะกักมาหาพระองค์ พวกเขาขอร้องให้พระองค์วางมือบนตัวชายคนนั้น

33 พระเยซูพาเขาออกมาจากฝูงชนตามลำพังและแยงนิ้วของพระองค์เข้าไปในหูทั้งสองของเขา บ้วนน้ำลายออก แล้วใช้น้ำลายแตะลิ้นของเขา 34 พระองค์แหงนหน้าขึ้นสู่สวรรค์พลางถอนใจยาว และกล่าวกับเขาว่า “เอฟฟาธา” คือ “จงเปิดออก” 35 หูของเขาก็หายหนวกและลิ้นที่เคยพูดตะกุกตะกักก็หายเป็นปกติ เขาเริ่มพูดได้ชัดเจน 36 พระองค์สั่งเขาเหล่านั้นไม่ให้บอกแก่ผู้ใด แต่ยิ่งพระองค์ห้ามมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งป่าวประกาศต่อไปมากขึ้นเท่านั้น 37 ฝูงชนประหลาดใจยิ่งนักจึงพูดว่า “ทุกสิ่งที่พระองค์กระทำล้วนเป็นสิ่งดี แม้แต่คนหูหนวกก็ได้ยินและคนใบ้ก็พูดได้”

Footnotes

  1. 7:7 อิสยาห์ 29:13
  2. 7:10 อพยพ 20:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16
  3. 7:10 อพยพ 21:17; เลวีนิติ 20:9
  4. 7:16 […] สำเนาโบราณบางฉบับมีข้อความตอนนี้รวมอยู่ด้วย

คำสอนของบรรพบุรุษ

(มธ. 15:1-20)

พวกฟาริสี กับพวกครูผู้สอนกฎปฏิบัติบางคนที่มาจากเมืองเยรูซาเล็ม พากันมาหาพระเยซู พวกเขาเห็นศิษย์บางคนของพระเยซู กินอาหารโดยไม่ได้ล้างมือ (พวกฟาริสี และคนยิวทุกคนจะไม่กินอาหารจนกว่าจะได้ล้างมือตามประเพณีที่บรรพบุรุษทำมา เมื่อกลับมาจากตลาดพวกเขาก็ต้องทำพิธีจุ่มตัวเองก่อนที่จะกินข้าว นอกจากนี้ ยังรักษาประเพณีอื่นๆอีกมากมายเช่น การล้างถ้วย เหยือก หม้อทองสัมฤทธิ์ และเก้าอี้เอนสำหรับกินข้าว)[a]

ดังนั้นพวกฟาริสีและพวกครูสอนกฎปฏิบัติพวกนี้ถามพระเยซูว่า “ทำไมศิษย์ของคุณถึงไม่ทำตามประเพณีที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ ทำไมพวกเขาถึงไม่ล้างมือก่อนกินอาหาร”

พระองค์จึงตอบว่า “อิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า พูดไว้ถูกต้องเลยเกี่ยวกับพวกหน้าซื่อใจคดอย่างพวกคุณที่ว่า

‘คนพวกนี้นับถือเราแต่ปากเท่านั้น
    แต่ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรามาก
จึงไม่มีประโยชน์ที่เขาจะบูชาเรา
    เพราะสิ่งที่เขาสอนกันนั้นเป็นแค่กฎที่มนุษย์ตั้งขึ้น’[b]

พวกคุณละเลยคำสั่งของพระเจ้า เพื่อจะได้ไปทำตามประเพณีที่มนุษย์สอนต่อๆกันมา”

แล้วพระเยซูพูดอีกว่า “พวกคุณนี่เหลี่ยมจัดนะ เข้าใจหลีกเลี่ยงคำสั่งของพระเจ้า เพื่อจะได้ไปทำตามประเพณีที่สืบทอดกันมา 10 อย่างเช่น โมเสสสอนว่า ‘ให้เคารพนับถือพ่อแม่ของตน’[c] และ ‘คนที่สาปแช่งพ่อแม่ต้องตาย’[d] 11 แต่พวกคุณกลับสอนว่าไม่ผิดที่จะบอกพ่อแม่ว่า ‘สิ่งที่ลูกจะเอามาช่วยพ่อแม่ได้นั้น ลูกได้ยกให้กับพระเจ้าไปหมดแล้ว’ 12 ทำอย่างนี้เท่ากับว่าพวกคุณสอนเขาไม่ให้ช่วยเหลืออะไรพ่อแม่เลย 13 แบบนี้พวกคุณก็เลยยกเลิกพระคำของพระเจ้า แต่ไปทำตามประเพณีที่สืบทอดกันมา และพวกคุณยังทำอย่างนี้กับอีกหลายๆเรื่องด้วย”

สิ่งที่ทำให้สกปรกในสายตาพระเจ้า

14 พระองค์เรียกฝูงชนเข้ามา และพูดว่า “ฟังให้ดีๆและเข้าใจซะด้วยว่า 15 ไม่มีอะไรเลยที่คนกินเข้าไปแล้ว ทำให้เขาสกปรกในสายตาพระเจ้า มีแต่สิ่งที่ออกมาจากข้างในตัวเขาเท่านั้น ที่จะทำให้เขาสกปรกในสายตาพระเจ้า” 16 [e]

17 หลังจากที่พระเยซูแยกกับชาวบ้านแล้ว พระองค์ได้เข้าไปในบ้าน พวกศิษย์ก็เข้ามาถามเกี่ยวกับเรื่องเปรียบเทียบนี้ 18 พระองค์บอกว่า “พวกคุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ไม่มีอะไรหรอกที่คนกินเข้าไปแล้วจะทำให้เขาสกปรกในสายตาพระเจ้า 19 เพราะมันไม่ได้เข้าไปในจิตใจ แต่มันตกลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกมา” (ที่พระองค์พูดอย่างนี้ ก็แสดงว่าอาหารทุกชนิดสะอาดกินได้หมด)

20 พระองค์ก็พูดต่อว่า “สิ่งที่ออกมาจากตัวคนนั่นแหละที่ทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้า 21 เพราะที่ออกมาจากตัวก็ออกมาจากจิตใจ และใจนี่เองเป็นที่มาของความคิดชั่วร้าย ความผิดบาปทางเพศ การลักขโมย การฆ่ากัน 22 การมีชู้ ความโลภ ความชั่วต่างๆ การหลอกลวง ราคะตัณหา การอิจฉาริษยา การนินทาว่าร้าย ความเย่อหยิ่งจองหอง และ ความโง่เขลา 23 สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้ออกมาจากข้างในและทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้า”

พระเยซูช่วยผู้หญิงกรีก

(มธ. 15:21-28)

24 พระเยซูจากที่นั่นเข้าไปยังเขตแดนเมืองไทระ แล้วพระองค์เข้าไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ไม่ต้องการให้คนรู้ แต่ก็ไม่สามารถซ่อนตัวได้

25 พอหญิงคนหนึ่งที่มีลูกสาวที่ถูกผีชั่วสิงอยู่รู้ว่าพระองค์มา เธอจึงมากราบแทบเท้าของพระเยซู 26 หญิงคนนี้เป็นคนกรีก[f] เกิดที่แคว้นฟีนีเซียในประเทศซีเรีย เธอมาขอร้องให้พระเยซูช่วยขับไล่ผีชั่วที่สิงลูกสาวของเธออยู่

27 แล้วพระองค์พูดว่า “มันไม่ถูกต้องที่จะเอาอาหารของลูกๆไปโยนให้หมากิน ต้องให้ลูกๆกินอิ่มเสียก่อน”

28 แต่เธอตอบว่า “ใช่ค่ะท่าน แต่หมาก็ยังได้กินเศษอาหารของเด็กๆที่ตกอยู่ใต้โต๊ะเลย”

29 พระองค์พูดว่า “ตอบได้ดีมาก กลับไปบ้านเถอะ เพราะผีชั่วได้ออกจากลูกสาวคุณแล้ว”

30 เมื่อเธอกลับถึงบ้าน ก็เห็นลูกสาวนอนอยู่บนเตียง และผีชั่วได้ออกไปแล้ว

พระเยซูรักษาคนที่หูหนวกและเป็นใบ้

31 พระองค์ออกจากเขตแดนของเมืองไทระ และเดินผ่านเมืองไซดอน เพื่อจะไปที่ทะเลสาบกาลิลี โดยผ่านทางแคว้นเดคาโปลิศ[g] 32 มีคนพาชายหูหนวกคนหนึ่งที่พูดไม่ค่อยได้มาหาพระเยซู พวกเขาขอร้องให้พระองค์วางมือบนชายคนนี้

33 พระองค์พาชายคนนี้หลีกห่างไปจากผู้คน พระองค์เอานิ้วแยงเข้าไปในหูของเขา แล้วเอาน้ำลายที่พระองค์บ้วนออกมาไปแตะที่ลิ้นของเขา 34 แล้วพระองค์เงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นถอนใจยาว แล้วพูดกับชายคนนั้นว่า “เอฟฟาธา” แปลว่า “เปิดสิ” 35 หูของเขาก็ได้ยินทันที และลิ้นของเขาก็ไม่ขัดและพูดได้คล่องชัดเจน

36 พระองค์สั่งพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟัง แต่ยิ่งพระองค์สั่งห้ามมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งร่ำลือกันมากขึ้นเท่านั้น 37 คนที่ได้ยินก็ประหลาดใจมากและพูดว่า “ทุกอย่างที่เขาทำนั้นยอดเยี่ยมจริงๆขนาดคนหูหนวกยังทำให้ได้ยิน และคนใบ้ยังทำให้พูดได้”

Footnotes

  1. 7:4 และเก้าอี้เอนสำหรับกินข้าว ฉบับภาษาเดิมบางฉบับไม่มีคำนี้
  2. 7:6-7 อ้างมาจากหนังสือ อิสยาห์ 29:13
  3. 7:10 อ้างมาจากหนังสือ อพยพ 20:12 และ หนังสือ เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16
  4. 7:10 อ้างจากหนังสือ อพยพ 21:17 และ เลวีนิติ 20:9
  5. 7:16 ข้อนี้ บางฉบับมีข้อความว่า “ใครมีหู ก็ฟังไว้ดีๆ”
  6. 7:26 คนกรีก คือไม่ใช่คนยิว มักจะเรียกว่าเป็นคนต่างชาติ
  7. 7:31 แคว้นเดคาโปลิศ หรือแคว้นทศบุรี เป็นชื่อในภาษากรีก แปลว่า “สิบเมือง” ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี