ผู้เผยพระวจนะซึ่งไม่มีใครนับถือ(A)

พระเยซูเสด็จจากที่นั่นไปยังบ้านเกิดของพระองค์โดยมีเหล่าสาวกติดตามไปด้วย เมื่อถึงวันสะบาโตพระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลา หลายคนที่ได้ฟังพระองค์ก็ประหลาดใจ

พวกเขาถามว่า “คนนี้ได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? สติปัญญาที่เขาได้รับเป็นสติปัญญาอย่างไหนกัน? ถึงกับทำการอัศจรรย์ได้! เขาเป็นช่างไม้มิใช่หรือ? เขาเป็นลูกนางมารีย์ เป็นพี่ชายของยากอบ โยเซฟ[a] ยูดาส กับซีโมนไม่ใช่หรือ? พวกน้องสาวของเขาก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ?” เขาทั้งหลายจึงไม่พอใจพระองค์

พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระวจนะจะขาดคนนับถือก็แต่เฉพาะในบ้านเกิด ในหมู่ญาติ และในบ้านของตนเอง” พระองค์ไม่อาจทำการอัศจรรย์ใดๆ ที่นั่นเว้นแต่ทรงวางมือบนคนป่วยบางคนและรักษาพวกเขาให้หาย และพระองค์ทรงแปลกใจที่พวกเขาขาดความเชื่อ

พระเยซูทรงส่งสาวกทั้งสิบสองคนออกไป(B)

จากนั้นพระเยซูเสด็จไปสั่งสอนตามหมู่บ้านโดยรอบ ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา ส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ๆพร้อมทั้งประทานฤทธิ์อำนาจเหนือวิญญาณชั่ว[b]ให้แก่พวกเขา

พระองค์ทรงกำชับว่า “ไม่ต้องนำสิ่งใดติดตัวไปในการเดินทางนอกจากไม้เท้า ไม่ต้องเอาอาหาร ย่าม หรือเงินติดตัวไป ให้สวมรองเท้าแต่ไม่ต้องเตรียมเสื้ออีกตัวหนึ่ง 10 เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงพักที่บ้านนั้นจนกว่าจะไปจากเมืองนั้น 11 หากที่ไหนไม่ต้อนรับหรือไม่รับฟัง เมื่อจะไปจากที่นั่นก็จงสะบัดฝุ่นออกจากเท้าเพื่อเป็นพยานปรักปรำเขา”

12 เหล่าสาวกจึงออกไปและเทศนาให้ประชาชนกลับใจใหม่ 13 พวกเขาขับผีออกหลายตนและเจิมคนป่วยมากมายด้วยน้ำมันและรักษาพวกเขาให้หาย

ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกประหาร(C)

14 กษัตริย์เฮโรดได้ยินเรื่องของพระเยซูเพราะชื่อเสียงของพระองค์เลื่องลือไปทั่ว บางคนพูดว่า[c]พระเยซูคือยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งเป็นขึ้นจากตาย ดังนั้นเขาจึงมีฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์ต่างๆ ได้

15 บางคนก็ว่า “เขาคือเอลียาห์” และยังมีคนอื่นๆ ที่อ้างว่า “เขาคือผู้เผยพระวจนะเหมือนเหล่าผู้เผยพระวจนะในอดีต”

16 แต่เมื่อเฮโรดได้ยินก็กล่าวว่า “นี่คือยอห์นที่เราสั่งให้ตัดศีรษะไป เขาเป็นขึ้นจากตายแล้ว!”

17 เพราะเฮโรดเองสั่งให้จับยอห์นมาล่ามโซ่ขังไว้ในคุกด้วยสาเหตุจากนางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตนซึ่งเฮโรดได้นางมาเป็นภรรยา 18 เนื่องจากยอห์นเคยพูดกับเฮโรดว่า “ท่านทำผิดบัญญัติที่เอาน้องสะใภ้มาเป็นภรรยา” 19 ดังนั้นนางเฮโรเดียสจึงอาฆาตยอห์นและอยากจะฆ่าเขาแต่ก็ทำไม่ได้ 20 เพราะเฮโรดยำเกรงยอห์นและคอยปกป้องเขาเพราะรู้ว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมและบริสุทธิ์ เมื่อเฮโรดได้ฟังยอห์นพูดก็งุนงงสงสัยยิ่งนัก[d]แต่ก็ยังอยากฟัง

21 ในที่สุดโอกาสก็มาถึง ในงานฉลองวันเกิดเฮโรดจัดงานเลี้ยงขุนนาง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และบรรดาคนสำคัญๆ ในแคว้นกาลิลี 22 เมื่อบุตรีของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำก็เป็นที่ถูกใจเฮโรดกับแขกเหรื่อยิ่งนัก

กษัตริย์จึงกล่าวกับหญิงสาวนั้นว่า “จงขอสิ่งที่เจ้าต้องการแล้วเราจะให้ตามที่เจ้าขอ” 23 และสัญญาโดยปฏิญาณว่า “ไม่ว่าเจ้าจะขออะไร เราก็จะให้ทั้งนั้นจนถึงครึ่งหนึ่งของอาณาจักร”

24 นางจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขออะไรดี?”

มารดาบอกว่า “ขอศีรษะยอห์นผู้ให้บัพติศมาสิ”

25 นางรีบมาทูลกษัตริย์ทันทีว่า “ขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เดี๋ยวนี้เถิด”

26 กษัตริย์เฮโรดเป็นทุกข์ยิ่งนักแต่ก็ขัดไม่ได้เพราะได้ปฏิญาณไว้และเพราะเห็นแก่หน้าแขกเหรื่อ 27 จึงบัญชาในทันทีทันใดให้เพชฌฆาตนำศีรษะของยอห์นมา เขาก็ไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก 28 แล้วนำศีรษะใส่ถาดมาให้หญิงนั้นและนางเอาไปให้มารดา 29 เมื่อศิษย์ของยอห์นทราบข่าวจึงมารับศพเขาไปฝังในอุโมงค์

พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน(D)

30 ฝ่ายอัครทูตมาเข้าเฝ้าพระเยซูและทูลรายงานสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาได้ทำและสั่งสอน 31 เนื่องจากขณะนั้นมีผู้คนไปๆ มาๆ กันแน่นขนัดจนพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะรับประทานอาหาร พระองค์จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงตามเราไปหาที่สงบพักกันสักหน่อยเถิด”

32 ดังนั้นพระองค์กับเหล่าสาวกจึงลงเรือไปยังที่สงบเงียบ 33 แต่หลายคนเห็นพวกเขาก็จำได้และพากันวิ่งจากเมืองต่างๆ ไปถึงที่นั่นก่อน 34 เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือและเห็นคนหมู่ใหญ่ก็ทรงสงสารเพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง ดังนั้นพระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง

35 พอตกเย็นเหล่าสาวกจึงมาทูลว่า “ที่นี่ห่างไกลนักและตกเย็นแล้ว 36 ขอทรงให้ประชาชนเหล่านี้ไปเสียเถิดเพื่อเขาจะได้ซื้อหาอาหารกินกันเองตามหมู่บ้านรอบๆ”

37 แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด”

เหล่าสาวกทูลว่า “นี่ต้องใช้เงินเท่ากับค่าจ้างคนงานคนหนึ่งถึงแปดเดือน[e]ทีเดียว! เราต้องใช้เงินมากขนาดนั้นไปซื้อหาอาหารมาให้เขากินหรือ?”

38 พระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน? ไปดูซิ”

เมื่อรู้แล้วพวกเขาจึงกลับมาทูลว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว”

39 แล้วพระเยซูตรัสสั่งสาวกให้ไปบอกประชาชนให้นั่งกันเป็นกลุ่มบนพื้นหญ้าเขียวขจี 40 พวกเขาก็นั่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง 41 พระเยซูทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวนั้นมา ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมองฟ้าสวรรค์แล้วขอบพระคุณพระเจ้าและหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวก พวกเขาก็แจกจ่ายให้ประชาชน พระองค์ยังทรงแบ่งปลาสองตัวให้คนทั้งปวงโดยทั่วกันด้วย 42 พวกเขาทุกคนได้กินอิ่มหนำ 43 เหล่าสาวกเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้สิบสองตะกร้าเต็ม 44 จำนวนผู้ชายที่รับประทานอาหารนั้นมีห้าพันคน

พระเยซูทรงดำเนินบนน้ำ(E)

45 แล้วพระเยซูทรงให้เหล่าสาวกลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปยังเมืองเบธไซดาทันทีขณะที่พระองค์ทรงรอส่งฝูงชน 46 หลังจากแยกจากพวกเขาแล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐาน

47 เมื่อค่ำลง เรือของเหล่าสาวกอยู่กลางทะเลสาบและพระองค์ประทับอยู่ที่ริมฝั่งแต่ผู้เดียว 48 ทรงเห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงทวนลมที่ปะทะอยู่ ในช่วงใกล้รุ่ง[f]พระเยซูก็ทรงดำเนินบนน้ำไปหาพวกเขา พระองค์กำลังจะเสด็จเลยพวกเขาไป 49 แต่เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ดำเนินมาบนทะเลสาบก็คิดว่าเป็นผีจึงร้องลั่น 50 เพราะทุกคนเห็นพระองค์และตกใจกลัว

ทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เข้มแข็งไว้! นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 51 แล้วเสด็จขึ้นเรือของพวกเขา ลมก็สงบ พวกเขาประหลาดใจยิ่งนัก 52 เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง จิตใจของพวกเขาแข็งกระด้าง

53 เมื่อข้ามฟากมาแล้วพวกเขาก็จอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเรท 54 ทันทีที่พวกเขาขึ้นจากเรือประชาชนก็จำพระเยซูได้ 55 คนเหล่านั้นจึงวิ่งไปทั่วแคว้นนำบรรดาคนเจ็บป่วยวางบนที่นอนและหามไปยังทุกที่ที่ได้ยินว่าพระองค์เสด็จไป 56 ไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ไหน ทั้งในหมู่บ้าน ในเมือง หรือในชนบท พวกเขาจะหามคนป่วยมาที่ย่านชุมชน แล้วทูลขอให้คนป่วยนั้นได้แตะต้องแม้แต่เพียงชายฉลองพระองค์ก็พอและทุกคนที่ได้แตะต้องพระองค์ก็หายป่วย

Footnotes

  1. 6:3 หรือโยเสส
  2. 6:7 ภาษากรีกว่าโสโครก
  3. 6:14 สำเนาต้นฉบับเก่าแก่บางสำเนาว่าเขาพูดว่า
  4. 6:20 สำเนาต้นฉบับเก่าแก่บางสำเนาว่าก็ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่าง
  5. 6:37 ภาษากรีกว่า200 เดนาริอัน
  6. 6:48 ภาษากรีกว่าช่วงยามที่สี่(ประมาณตีสามถึงหกโมงเช้า)

พระเยซูไม่เป็นที่ยอมรับ

พระเยซูได้ออกไปจากที่นั่น และมายังเมืองที่พระองค์เติบโตมา เหล่าสาวกก็ติดตามไปด้วย เมื่อถึงวันสะบาโตพระองค์เริ่มสั่งสอนในศาลาที่ประชุม และมีคนฟังจำนวนมากที่อัศจรรย์ใจและพูดกันว่า “ชายผู้นี้ได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน ช่างมีสติปัญญาอะไรเช่นนี้ และแสดงสิ่งอัศจรรย์ด้วยตัวเขาเองได้อย่างไรกัน ชายผู้นี้เป็นช่างไม้บุตรของมารีย์ พี่ชายของยากอบ โยเสส ยูดาสและซีโมนมิใช่หรือ พวกน้องสาวของเขาก็อยู่ที่นี่กับเรามิใช่หรือ” และพวกเขาก็เหยียดหยามพระองค์ พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเป็นที่ยอมรับนับถือทั่วทุกแห่งหน เว้นแต่ในเมืองที่ตนเติบโตมาและในหมู่ญาติพี่น้องและครอบครัวของตน” พระองค์ไม่สามารถแสดงสิ่งอัศจรรย์ที่นั่น เว้นแต่ว่าพระองค์วางมือทั้งสองบนพวกคนป่วยไม่กี่คน และรักษาพวกเขาให้หายจากโรค พระองค์แปลกใจในความไม่เชื่อของพวกเขา

พระเยซูให้โอวาทแก่สาวกทั้งสิบสองก่อนออกไปประกาศ

ครั้นแล้วพระเยซูเที่ยวสั่งสอนไปตามหมู่บ้านต่างๆ โดยรอบ พระองค์เรียกสาวกทั้งสิบสองมา แล้วใช้ให้เขาออกไปกันเป็นคู่ อีกทั้งได้ให้พวกเขามีสิทธิอำนาจเหนือวิญญาณร้าย พระองค์สั่งพวกเขาว่า “ไม่ต้องนำของติดตัวในการเดินทางเลย นอกจากไม้เท้าเท่านั้น ไม่เอาอาหารหรือย่าม ไม่เอาเงินทองติดกระเป๋าไปด้วย เพียงแต่สวมรองเท้า และอย่านำเสื้อสำรองตัวในไปด้วย” 10 พระองค์บอกพวกเขาว่า “เมื่อเจ้าเข้าไปในบ้านใครก็ตาม จงอยู่ที่นั่นจนกว่าจะออกไปจากเมืองนั้น 11 สถานที่ใดที่ไม่ยอมต้อนรับหรือฟังเจ้า เวลาเจ้าออกไปจากที่นั่นก็จงสลัดฝุ่นออกจากเท้าเพื่อแสดงถึงความผิดของเขา” 12 ดังนั้นพวกเขาจึงออกไปประกาศว่า ผู้คนควรจะกลับใจ 13 พวกเขาขับไล่มารจำนวนมากออกจากผู้คน และใช้น้ำมันเจิมบรรดาคนป่วยและรักษาพวกเขาให้หายขาด

ยอห์นถูกตัดศีรษะ

14 กษัตริย์เฮโรดได้ยินเรื่องดังกล่าวก็เพราะพระนามของพระองค์เป็นที่รู้จัก บางคนพูดกันว่า “ยอห์นผู้ให้บัพติศมาฟื้นคืนชีวิตจากความตายจึงเป็นเหตุให้ท่านสำแดงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ได้” 15 แต่คนอื่นๆ พูดกันว่า “ท่านเป็นเอลียาห์”[a] บ้างพูดว่า “เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เช่นเดียวกับบรรดาผู้เผยคำกล่าวคนอื่นๆ ในอดีต”

16 แต่เมื่อเฮโรดได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า “เขาคือยอห์นที่เราสั่งตัดหัว เขาได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย” 17 เฮโรดเองเป็นผู้ที่ใช้ให้คนจับกุมยอห์นและมัดไว้ในคุกเพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสผู้เป็นภรรยาของฟีลิปน้องชายของตน เนื่องจากเฮโรดได้สมรสกับนาง 18 เป็นเพราะยอห์นได้บอกเฮโรดว่า “เป็นการผิดกฎที่ท่านจะเอาภรรยาของน้องมาเป็นภรรยาของตน” 19 นางเฮโรเดียสจึงผูกใจเจ็บต่อยอห์น และต้องการชีวิตของท่าน แต่ก็ทำไม่ได้ 20 เนื่องจากเฮโรดกลัวยอห์นเพราะรู้ว่า ท่านเป็นคนมีความชอบธรรมและเป็นคนบริสุทธิ์ จึงได้ป้องกันตัวท่านไว้ ฉะนั้นเมื่อเฮโรดได้ยินยอห์นสั่งสอน ท่านก็รู้สึกสับสนงุนงงยิ่งนัก แต่ก็พอใจที่จะฟัง

21 แล้วโอกาสก็มาถึง คือเฮโรดจัดงานเลี้ยงวันเกิดของตนโดยเชิญพวกข้าราชสำนัก นายทหารชั้นเอก และผู้นำทั้งปวงในแคว้นกาลิลี 22 เมื่อบุตรสาวของนางเฮโรเดียสเองมาเต้นระบำ ก็ทำให้เฮโรดและแขกในงานพอใจ กษัตริย์จึงกล่าวกับหญิงสาวนั้นว่า “จะขอสิ่งใดจากเราก็ได้ แล้วเราจะให้” 23 กษัตริย์ได้สัญญาเธอว่า “อะไรก็ตามที่เจ้าขอจากเรา เราจะให้แก่เจ้า แม้จะถึงครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรของเรา” 24 ดังนั้นเธอจึงออกไปถามมารดาของเธอว่า “จะขอสิ่งใดดี” มารดาตอบว่า “ศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมา” 25 เธอรีบเข้ามาเฝ้ากษัตริย์และขอว่า “ดิฉันอยากได้ศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาบนถาดเดี๋ยวนี้” 26 ถึงแม้ว่ากษัตริย์เสียใจมาก แต่เป็นเพราะคำมั่นสัญญาของท่านและแขกในงาน ท่านจึงปฏิเสธเธอไม่ได้ 27 กษัตริย์จึงสั่งเพชฌฆาตให้ไปเอาศีรษะของยอห์นมาทันที โดยเขาก็ไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก 28 และนำศีรษะของท่านวางบนถาดมาให้หญิงสาว และเธอก็ให้มารดาไป 29 เมื่อเหล่าสาวกของยอห์นได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาจึงมารับเอาร่างของท่านไปวางไว้ในถ้ำเก็บศพ

มหาชนกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว

30 บรรดาอัครทูตชุมนุมร่วมกับพระเยซู และรายงานพระองค์ถึงสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาได้แสดงและสั่งสอน 31 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “ไปหาที่ร้างเพื่อพักตามลำพังเถอะ เราจะได้พักผ่อนกันหน่อย” ด้วยเหตุว่ามีผู้คนไปมามาก จนพวกเขาไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะรับประทานอาหารกัน 32 พวกเขาจึงออกเรือกันไปยังที่ร้างกันตามลำพัง 33 คนจำนวนมากได้เห็นพระเยซูและอัครทูตออกเรือกันไปก็จำได้ จึงพากันวิ่งออกจากเมืองต่างๆ และไปถึงที่หมายก่อน 34 เมื่อพระองค์ขึ้นฝั่งก็เห็นมหาชน และเกิดความสงสารเพราะว่าพวกเขาเป็นเสมือนฝูงแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยงดู ครั้นแล้วพระองค์ก็เริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายสิ่งหลายอย่าง 35 ขณะนั้นเป็นเวลาบ่าย เหล่าสาวกจึงมาบอกพระองค์ว่า “ที่นี่เป็นที่กันดารและก็เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว 36 ปล่อยให้พวกเขาไปเถิด จะได้เข้าไปกันตามชนบทและหมู่บ้านใกล้เคียงหาซื้ออาหารรับประทาน” 37 แต่พระองค์กล่าวตอบพวกเขาว่า “พวกเจ้าเอาอาหารมาให้เขาเถิด” พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า “ให้พวกเราใช้ 200 เหรียญเดนาริอัน[b]ไปซื้ออาหารให้เขารับประทานกันหรือ” 38 พระองค์กล่าวว่า “ดูสิว่าเจ้ามีขนมปังอยู่กี่ก้อน” เมื่อพวกเขาทราบแล้วก็พูดว่า “5 ก้อนกับปลา 2 ตัว”

39 พระองค์สั่งทุกคนให้นั่งรวมกันเป็นกลุ่มบนพื้นหญ้าอันเขียวชอุ่ม 40 พวกเขาจึงนั่งรวมกันเป็นกลุ่มๆ ละ 100 คนบ้าง 50 บ้าง 41 พระองค์หยิบขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว แล้วแหงนหน้าขึ้นสู่สวรรค์ กล่าวขอบคุณพระเจ้าและบิขนมปังยื่นให้แก่เหล่าสาวกเพื่อแจกแก่ผู้คน และพระองค์แบ่งปลา 2 ตัวให้ได้ทั่วกันทุกคน 42 พวกเขาทุกคนได้รับประทานกันจนอิ่มหนำ 43 มีคนเก็บขนมปังและปลาที่เหลือได้ 12 ตะกร้าเต็มๆ 44 จำนวนผู้ชายที่รับประทานขนมปังมี 5,000 คน

พระเยซูเดินบนผิวน้ำในทะเลสาบ

45 ในทันใดนั้น พระองค์ก็สั่งเหล่าสาวกให้ลงเรือออกไปก่อน ข้ามฟากไปยังเมืองเบธไซดา ขณะที่พระองค์บอกฝูงชนให้กลับไป 46 หลังจากที่ได้ร่ำลากับพวกเขาแล้ว พระองค์จึงขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน 47 ครั้นเย็นลง เรือยังล่องอยู่ในทะเลสาบ และพระองค์อยู่บนฝั่งแต่ผู้เดียว 48 พระองค์เห็นพวกเขาตีกรรเชียงกันอย่างขะมักเขม้นเพราะทวนลมอยู่ ระหว่างตีสามถึงหกโมงเช้า พระองค์เดินบนผิวน้ำในทะเลสาบไปหาพวกเขา และพระองค์ตั้งใจที่จะเดินผ่านพวกเขาไป 49 แต่เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์เดินบนผิวน้ำก็สำคัญว่าเป็นผี จึงส่งเสียงร้อง 50 เพราะทุกคนเห็นพระองค์และตกใจ แต่พระองค์กล่าวกับพวกเขาทันทีว่า “ทำใจให้ดีไว้ นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 51 แล้วพระองค์ก็ลงเรือไปกับพวกเขา ลมหยุดพัดและพวกเขาก็อัศจรรย์ใจยิ่งนัก 52 เพราะว่าเขาเหล่านั้นยังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง และใจของพวกเขายังคงแข็งกระด้าง

53 ครั้นข้ามฟากไปแล้วก็ขึ้นฝั่งที่แขวงเยนเนซาเรทแล้วผูกเรือไว้ 54 เมื่อขึ้นจากเรือแล้วผู้คนก็จำพระองค์ได้ 55 พวกเขาวิ่งกันไปทั่วแว่นแคว้น และเมื่อทราบว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ก็พากันหามพวกคนป่วยบนเปลหามไปหาพระองค์ 56 พระองค์เดินไปตามหมู่บ้าน ในเมือง หรือตามชานเมืองที่ใดก็ตาม พวกเขาจะวางคนป่วยไว้ที่ย่านตลาด และขอให้พวกเขาเพียงแต่แตะชายเสื้อตัวนอกของพระองค์ ทุกคนที่กระทำอย่างนั้นแล้วก็หายขาดจากโรค

Footnotes

  1. 6:15 เอลียาห์ เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ฉบับมาลาคี 4:5,6
  2. 6:37 1 เดนาริอัน เป็นเงินมีค่าประมาณค่าแรงทำงาน 1 วัน

พระเยซูกลับบ้าน

(มธ. 13:53-58; ลก. 4:16-30)

พระเยซูไปจากที่นั่นและกลับไปบ้านเดิม พวกศิษย์ก็ติดตามไปด้วย เมื่อถึงวันหยุดทางศาสนา พระองค์ก็สั่งสอนอยู่ในที่ประชุมของชาวยิว มีคนมากมายที่ทึ่งในคำสอนของพระองค์ และพูดกันว่า “เขาไปเอาความรู้แบบนี้มาจากไหน แล้วทำการอัศจรรย์เหล่านี้ได้ยังไง เขาเป็นแค่ช่างไม้ ลูกของมารีย์ พี่ชายของยากอบ โยเสส ยูดาส และซีโมน และพวกน้องสาวของเขาก็อยู่ในเมืองนี้กับพวกเราอีกด้วย” พวกเขาจึงขุ่นเคืองพระองค์

พระเยซูจึงพูดกับพวกเขาว่า “ผู้พูดแทนพระเจ้าได้รับเกียรติในทุกที่ ยกเว้นในบ้านเมือง ในหมู่ญาติพี่น้อง และในครอบครัวของตัวเอง” เมื่ออยู่ที่นั่น พระเยซูจึงไม่สามารถทำการอัศจรรย์ได้นอกจากวางมือรักษาคนป่วยไม่กี่คน พระองค์แปลกใจที่พวกเขาไม่มีความเชื่อในพระองค์ พระองค์จึงไปสอนที่หมู่บ้านใกล้เคียงแถวนั้นแทน

พระเยซูส่งศิษย์เอกสิบสองคนออกไป

(มธ. 10:1, 5-15; ลก. 9:1-6)

พระองค์เรียกศิษย์เอกทั้งสิบสองคนมา แล้วส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ๆพระองค์ทำให้พวกเขามีสิทธิอำนาจเหนือวิญญาณชั่วทั้งหลาย และสั่งว่า “อย่าเอาอะไรติดตัวไปเลยนอกจากไม้เท้า ไม่ต้องเอาอาหาร ถุงย่ามหรือเงินติดตัวไป ให้ใส่รองเท้าได้แต่ไม่ต้องเอาเสื้อผ้าสำรองไป” 10 พระองค์พูดกับพวกเขาว่า “บ้านไหนที่ต้อนรับคุณ ก็ให้อยู่ที่บ้านนั้นตลอดจนกว่าจะจากเมืองนั้นไป 11 แต่ถ้าที่ไหนไม่ต้อนรับหรือไม่ฟังพวกคุณ ก็ให้ออกไปจากที่นั่น และให้สะบัดฝุ่นออกจากเท้า[a] ด้วย เพื่อเป็นการเตือนพวกเขา”

12 พวกศิษย์ของพระองค์ก็ออกไปสั่งสอน ให้ผู้คนกลับตัวกลับใจเสียใหม่ 13 พวกเขาขับผีชั่วออกไปหลายตน ทาน้ำมันมะกอกให้กับคนเจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก และรักษาพวกเขาจนหาย

เฮโรดสั่งตัดหัวยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ

(มธ. 14:1-12; ลก. 9:7-9)

14 กษัตริย์เฮโรด[b] ได้ยินชื่อเสียงของพระเยซูเพราะคนพูดกันไปทั่ว บางคนพูดว่า “เขาต้องเป็นยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำที่ฟื้นขึ้นจากความตายแน่ๆถึงทำการอัศจรรย์พวกนี้ได้”

15 บางคนพูดว่า “เขาคือเอลียาห์” และบางคนพูดว่า “เขาคือผู้พูดแทนพระเจ้าเหมือนกับผู้พูดแทนพระเจ้าคนอื่นๆในสมัยโบราณนั้น”

16 เมื่อเฮโรดได้ยินเรื่องพวกนี้ พระองค์พูดว่า “ต้องเป็นยอห์น คนที่เราสั่งให้ตัดหัวฟื้นขึ้นจากตายแน่ๆ” 17 เพราะเฮโรดเองที่เป็นคนสั่งให้จับยอห์นล่ามโซ่และขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของเฮโรด 18 เพราะยอห์นได้เตือนกษัตริย์เฮโรดบ่อยๆว่า “พระองค์ทำไม่ถูก ที่เอาภรรยาน้องชายมาเป็นภรรยาตัวเอง” 19 ทำให้เฮโรเดียสแค้นใจอยากจะฆ่ายอห์น แต่ก็ทำไม่ได้ 20 เพราะกษัตริย์เฮโรดกลัวยอห์น พระองค์รู้ว่ายอห์นเป็นคนที่ทำตามใจพระเจ้า และเป็นคนของพระเจ้าจริงๆ จึงปกป้องยอห์นไว้ ทุกครั้งที่เฮโรดฟังยอห์นสอนก็ลำบากใจ แต่ก็ยังชอบฟัง

21 แล้วโอกาสของนางเฮโรเดียสก็มาถึง เมื่อเฮโรดจัดงานวันเกิดของพระองค์ขึ้น พระองค์เชิญพวกข้าราชการชั้นสูง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคนสำคัญๆของแคว้นกาลิลีมาในงาน 22 ลูกสาวของนางเฮโรเดียสเข้ามาเต้นรำ ทำให้เฮโรดและบรรดาแขกเหรื่อถูกอกถูกใจมาก แล้วกษัตริย์เฮโรดจึงบอกกับหญิงสาวนี้ว่า “อยากได้รางวัลอะไรก็ขอมาเลย เราจะให้” 23 พระองค์ยังสัญญาอีกว่า “เราจะให้ทุกอย่างที่เจ้าขอ แม้กระทั่งครึ่งหนึ่งของอาณาจักรนี้”

24 เธอก็ออกไปถามแม่ว่า “แม่ หนูขออะไรดีคะ” แม่ตอบว่า “ขอหัวของยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำสิ”

25 แล้วเธอก็รีบวิ่งเข้าไปบอกกษัตริย์ว่า “ดิฉันขอหัวของยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำใส่ถาดมาให้ที่นี่ค่ะ”

26 กษัตริย์เฮโรดเสียใจมาก แต่เพราะเขาได้สาบานไว้แล้วต่อหน้าแขกเป็นจำนวนมาก เฮโรดจึงไม่กล้าที่จะผิดคำพูดกับเธอ 27 เฮโรดจึงสั่งให้เพชฌฆาตไปตัดหัวของยอห์นในคุกทันที 28 และเอาใส่ถาดมาให้กับเธอ แล้วเธอก็เอาไปให้แม่ของเธอ 29 เมื่อศิษย์ของยอห์นรู้เข้าก็พากันมารับร่างของยอห์นไปฝังไว้ในอุโมงค์

พระเยซูเลี้ยงคนห้าพันคน

(มธ. 14:13-21; ลก. 9:10-17; ยน. 6:1-14)

30 พวกศิษย์ที่พระเยซูส่งออกไป ได้กลับมาหาพระองค์ และเล่าเรื่องทุกอย่างที่ได้ทำและสอนให้พระองค์ฟัง แล้วพระเยซูบอกพวกเขาว่า 31 “พวกเราไปหาที่เงียบๆพักผ่อนกันเถอะ” เพราะมีผู้คนเป็นจำนวนมากมาหาพระองค์ จนไม่มีเวลาแม้แต่จะกินอาหารกัน

32 พวกเขาจึงลงเรือไปยังที่เปลี่ยวเพื่ออยู่กันเฉพาะพวกเขา 33 แต่ก็มีคนจำนวนมากเห็นพวกเขาจากไปและจำเขาได้ จึงมีคนมากมายจากหมู่บ้านต่างๆรีบเดินตามไปที่นั่น และไปถึงก่อนพวกเขา 34 เมื่อพระองค์มาถึงฝั่งก็เห็นฝูงชนเป็นจำนวนมากรออยู่ก่อนแล้ว พระองค์รู้สึกสงสาร เพราะพวกเขาเหมือนฝูงแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงเริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายเรื่อง

35 เมื่อมันเริ่มเย็นมาก พวกศิษย์มาบอกพระองค์ว่า “ที่นี่เปลี่ยวมาก และนี่ก็เย็นมากแล้ว 36 ส่งพวกนี้กลับไปเถอะ พวกเขาจะได้เข้าไปตามชนบท ตามหมู่บ้านแถวๆนี้ และไปหาซื้ออะไรกินกัน”

37 แต่พระองค์กลับตอบว่า “พวกคุณหาอะไรให้พวกเขากินสิ” พวกเขาก็ตอบว่า “พวกเราต้องใช้ถึงสองร้อยเหรียญเงินทีเดียวนะครับ ถึงจะพอซื้ออาหารมาเลี้ยงคนพวกนี้”

38 พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “ไปดูสิว่าคุณมีขนมปังอยู่กี่ก้อน” เมื่อพวกเขารู้ก็กลับมาบอกว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวครับ”

39 พระองค์จึงสั่งให้พวกเขาไปจัดการให้ชาวบ้านนั่งกันเป็นกลุ่มๆบนพื้นที่มีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่มแถวนั้น 40 พวกชาวบ้านนั่งกันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละหนึ่งร้อยบ้าง ห้าสิบบ้าง 41 แล้วพระองค์หยิบขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวขึ้นมา มองขึ้นไปบนสวรรค์ขอบคุณพระเจ้า แล้วหักขนมปังส่งให้กับพวกศิษย์ไปแจกชาวบ้าน และพระองค์แบ่งปลาสองตัวนั้นแจกพวกเขาทุกคนด้วย 42 ทุกคนกินกันจนอิ่ม 43 แล้วพวกศิษย์เก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้สิบสองเข่งเต็มๆ 44 นับเฉพาะผู้ชายที่มากินได้ถึงห้าพันคน

พระเยซูเดินบนทะเล

(มธ. 14:22-33; ยน. 6:16-21)

45 ทันทีหลังจากที่กินเสร็จ พระองค์ให้พวกศิษย์ลงเรือข้ามฟากไปก่อนล่วงหน้า ไปยังเมืองเบธไซดา ส่วนพระองค์ยังรอส่งชาวบ้านอยู่ 46 หลังจากชาวบ้านกลับหมดแล้วพระองค์ขึ้นไปอธิษฐานที่บนภูเขา

47 ในคืนนั้นเรือของพวกศิษย์ยังลอยอยู่กลางทะเลสาบ ส่วนพระองค์อยู่บนฝั่งเพียงคนเดียว 48 พระองค์เห็นพวกศิษย์กำลังพายเรืออยู่ด้วยความยากลำบากเพราะมีลมแรงมากต้านเรือไว้ ระหว่างตีสามถึงหกโมงเช้านั้นพระองค์เดินบนน้ำมาหาพวกเขา และทำท่าเหมือนจะเดินผ่านไป 49 เมื่อพวกศิษย์เห็นพระองค์เดินอยู่บนน้ำ ก็คิดว่าเป็นผี เลยร้องตะโกนกันลั่น 50 เพราะตกใจกลัวมาก แต่ในทันใดนั้น พระองค์ก็พูดกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องตกใจ เราเอง ไม่ต้องกลัว” 51 จากนั้นพระองค์ก็ขึ้นไปอยู่บนเรือกับพวกเขา แล้วลมก็สงบลง พวกเขาประหลาดใจมาก 52 เพราะพวกเขายังมีใจที่แข็งกระด้างอยู่ จึงยังไม่เข้าใจถึงการอัศจรรย์ที่พระองค์เพิ่งทำไปกับขนมปังห้าก้อนนั้น

พระเยซูรักษาคนไม่สบาย

(มธ. 14:34-36)

53 เมื่อข้ามฟากมาก็มาถึงฝั่งเมืองเยนเนซาเรท พวกศิษย์ก็ผูกเรือไว้ 54 พอลงจากเรือ ชาวบ้านก็จำพระองค์ได้ 55 พวกเขาวิ่งไปบอกคนอื่นๆทั่วบริเวณนั้น และหามคนป่วยใส่แคร่มาหาพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะอยู่ที่ไหนก็ตาม 56 ไม่ว่าพระองค์จะเข้าไปในหมู่บ้าน หรือในเมือง หรือในชนบท ชาวบ้านก็จะนำคนป่วยมาวางไว้ที่ตลาด และพวกคนป่วยต่างอ้อนวอนขอแค่แตะพู่ที่ชายเสื้อคลุมของพระองค์ และทุกคนที่ได้แตะก็หายกันหมด

Footnotes

  1. 6:11 สะบัดฝุ่นออกจากเท้า หมายถึง พวกศิษย์ของพระเยซูจะไม่คบค้าสมาคมกับคนพวกนี้ เพราะไม่ยอมรับคำสอนของพระเจ้า คนพวกนี้จะต้องถูกลงโทษ และพวกศิษย์ก็ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะได้เตือนพวกนี้แล้ว
  2. 6:14 กษัตริย์เฮโรด คือเฮโรด แอนติปาส ปกครองกาลิลีและเปเรียในช่วง 4 ปีก่อนพระเยซูเกิดจนค.ศ 39 เป็นลูกของกษัตริย์เฮโรดมหาราช